อิสลามผู้พิชิต : บรรดาวิถีทางแห่งอิสลาม
(อาลี เสือสมิง)
เมื่อปรากฏว่าการเรียกร้องแห่งอิสลามได้รับการขานรับจากผู้คน โดยมิต้องมีการทุ่มเทเป็นการเฉพาะ ก็ย่อมมีความจำเป็นที่จะต้องปรากฏว่ามีวิถีทางหลากหลายที่การเรียกร้องแห่งอิสลามได้ขับเคลื่อนจากเส้นทางแห่งวิถีทางเหล่านั้น อุปมาในสิ่งดังกล่าวก็อุปมัยดังเช่น “สายน้ำซึ่งได้ซึมซาบลงสู่ชั้นของพื้นดินและทุ่งนา” สายน้ำจะไหลรินได้ก็จากเส้นทางที่มันสามารถซึมซาบได้อย่างสะดวก โดยจะไม่ไหลย้อนกลับสู่เบื้องสูง หากแต่จะไหลลงสู่ที่ต่ำลาดชัน และในการไหลลงสู่พื้นที่ต่ำนั้นสายน้ำก็จำต้องมีเส้นทางของมัน
เมื่อเราได้ติดตามสังเกตการไหลของน้ำลงสู่เบื้องต่ำเราจะพบว่าน้ำจะไหลเชี่ยวกรากลงสู่ทุ่งโล่งและรวมตัวอยู่ในพื้นที่ที่มีสิ่งขวางกั้นเพื่อรอเวลาที่จะเอ่อล้นสู่เส้นทางสายใหม่ กระแสน้ำอันเชี่ยวกรากยังคงไหลอยู่เช่นนั้นอย่างต่อเนื่องและจะมีการแยกเส้นทางออกไปจากลำน้ำเดิม ไปบรรจบกันอีกในช่วงหนึ่งและรวมตัวกันจนกลายเป็นลำห้วย คูคลองและแม่น้ำน้อย หลังจากนั้นก็จะกลับกลายเป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่มีน้ำไหลเอื่อยอยู่ตลอดเวลา แม่น้ำสายใหญ่ทั้งหลายที่มีลำน้ำเป็นเส้นทางยาวมากๆ ก็ย่อมมีสาขาของแม่น้ำนั้นมากเช่นกัน
และนั่นก็คือจุดกำเนิดของชุมชนและความเจริญ ส่วนสายน้ำที่ไหลเอื่อยจนสู่แก่งตะกอนและแคบลงเรื่อยๆ จนกระทั่งลับหายไปในพื้นดินก็ย่อมไม่มีความเจริญเกิดขึ้นบนลำน้ำนั้น เมื่อเราได้ตั้งคำถามถึงเส้นทางของอิสลาม เราก็จะพูดถึงเส้นทางต่างๆ ดังกล่าวที่กระแสแห่งการเรียกร้องได้มารวมตัวกันตามเส้นทางนั้นจนเกิดเป็นสายน้ำที่พวยพุ่งจากความศรัทธาและทำให้เมืองทั้งเมืองหรือส่วนใหญ่เป็นอิสลาม ดังกล่าวนั้นคือเส้นทางอันหลากหลายที่เราให้ความสำคัญในการมุ่งวิเคราะห์ศึกษา
เส้นทางแรกๆ ของการเผยแผ่อิสลามก็คือ เส้นทางการค้าขาย เมื่ออิสลามยังคงเป็นศาสนาที่โบยบิน คือเคลื่อนย้ายจากบุคคลหนึ่งสู่อีกบุคคลหนึ่ง และจากกลุ่มชนหนึ่งสู่อีกกลุ่มชนหนึ่ง ก็ย่อมจะต้องปรากฏว่ามนุษย์ผู้ทำหน้าที่ขับเคลื่อนนั้นมีการเคลื่อนไหว หรือกลุ่มชนนั้นๆ จะต้องมีการเคลื่อนไหว ขบวนการที่มีการเคลื่อนไหวของมนุษย์ที่มีระบบแบบแผนมากที่สุดก็คือการเคลื่อนไหวตามเส้นทางการค้าขาย ทั้งนี้เพราะการค้าขายคือตัวสินค้าทั้งหลายแหล่ที่มนุษย์มีความต้องการตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา
ในยุคปัจจุบันนี้สินค้าจะมีการขนถ่ายผ่านเส้นทางการเดินเรือ, เครื่องบิน และรถไฟ บรรดาพ่อค้าจะรอคอยสินค้าของตนที่ถูกส่งมาโดยไม่ยุ่งยากและเกิดความยากลำบากในการรับส่งสินค้า โดยไม่ต้องพึ่งพาบริษัทขนส่งสินค้าหรือบริษัทประกันภัยสินค้า นอกจากนี้เส้นทางการค้ายังเป็นเส้นทางการติดต่อของมวลมนุษย์อีกด้วย กองคาราวานสินค้าขนาดใหญ่ซึ่งมีผู้คนหลายร้อยหลายพันชีวิตร่วมขบวนมาจะใช้เส้นทางเหล่านั้นลำเลียงสินค้าและขนถ่าย พ่อค้าทุกคนจะมีลูกน้องผู้ติดตามและลูกหาบที่คอยแบกสัมภาระและสินค้า ด้วยเหตุดังกล่าว กองคาราวานจึงเปรียบดุจดังสายน้ำที่พวยพุ่งจากผู้คนที่ดำเนินไปในเส้นทางที่ถูกกำหนดไว้ในแต่ละปี
ในช่วงยุคกลาง มุสลิมคือผู้คนส่วนใหญ่ที่ร่วมขบวนคาราวานสินค้า โดยไม่เคยปรากฏว่าชาวอินเดีย, เปอร์เซีย, มองโกลหรือชาวยุโรปเป็นเจ้าของกองคาราวานที่มีระเบียบขนาดใหญ่ ทั้งนี้เพราะดินแดนของอินเดีย, เปอร์เซียและยุโรปไม่มีพื้นที่อันเป็นท้องทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไพศาลที่มีความจำเป็นในการจัดตั้งกองคาราวานที่มีระเบียบ และในดินแดนดังกล่าว ชุมชน หมู่บ้าน และหัวเมืองอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน นักเดินทาง, พ่อค้าจะโยกย้ายจากตำบลหนึ่งสู่อีกตำบลหนึ่งภายในระยะทางเพียงหนึ่งวัน หรืออาจไม่ถึงจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีกองคาราวานขนาดใหญ่ที่มีระเบียบ
ส่วนชาวอาหรับนั้นดินแดนของพวกเขาคือท้องทะเลทรายที่ส่วนต่างๆ มิอาจจะติดต่อกันได้นอกจากการใช้กองคาราวานขนาดใหญ่ที่มีการคุ้มกัน หรือดำเนินไปในเส้นทางที่ปลอดภัย จากการทำข้อตกลงกับเผ่าต่างๆ ที่มีหลักแหล่งตามรายทาง
ประการต่อมาก็คือว่า ดินแดนที่ชาวอาหรับนำสินค้ามาจากดินแดนเหล่านั้นเป็นพื้นทะเลทรายเสียเป็นส่วนใหญ่ เช่น ที่ราบสูงอิหร่าน, ทะเลทรายในเอเซียกลาง, ทะเลทรายที่เชื่อมต่อกับชมพูทวีป, ชนบทของซีเรียและคาบสมุทรไซนาย ทะเลทรายทางตะวันออกของอียิปต์ และทะเลทรายซาฮาร่าในแอฟริกา
ชาวอาหรับซึ่งอยู่ในท้องทะเลทรายของตนได้จัดตั้งกองคาราวานขนาดใหญ่อย่างเป็นระบบในยุคก่อนอิสลาม นครมักกะห์ คือ ตลาดทางการค้าที่ใหญ่ที่สุดที่อาศัยกองคาราวาน เป็นที่ทราบกันในประวัติศาสตร์ว่า ท่านฮาชิม อิบนุ อับดิมาน๊าฟ ปู่ของท่านศาสดา (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) คือบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งที่มีความช่ำชองในการจัดขบวนคาราวานสินค้าที่รู้จักในประวัติศาสตร์
ท่านกุซ็อยซ์ อิบนุ กิล๊าบ ซึ่งเป็นผู้สร้างฐานอำนาจของกุเรซและเป็นผู้นำเผ่ากุเรซเข้ายึดครองมักกะฮฺและเปลี่ยนให้มักกะฮฺเป็นฐานที่มั่นของกุเรซก็คือผู้ที่สืบทอดมรดกอันรุ่งโรจน์ของท่านฮาชิมในเวลาต่อมา เมื่อท่านกุซ็อยย์ได้เป็นผู้นำทางทหารและการเมืองที่มีความเชี่ยวชาญแล้ว ท่านก็ทราบดีถึงการที่ท่านจะปกครองกลุ่มชนในมักกะห์และเขตปริมณฑลอย่างไร
ท่านฮาชิมเป็นนักการค้าและคหบดี ท่านสามารถวางรากฐานอันแข็งแกร่งทางการค้าของมักกะฮฺ โดยกำหนดหุ้นส่วนในการลงทุนอย่างเป็นระบบซึ่งชาวมักกะฮฺทุกคนจะมีหุ้นส่วนในการค้าสู่แคว้นชามและยะมัน ต่อมาท่านฮาชิมก็จะทำข้อตกลงกับเผ่าต่างๆ ที่กองคาราวานสินค้าต้องใช้เส้นทางผ่านจากยะมันสู่มักกะฮฺและจากมักกะฮฺสู่หัวเมืองชามหรืออียิปต์, กาซ่า หรืออิรัก ข้อตกลงเหล่านี้เป็นที่รู้จักกันในนาม อัลอีล๊าฟ (การสร้างความปลอดภัย)
นอกจากนี้ท่านฮาชิมยังได้ทำข้อตกลงอัลอิซ็อม (การคุ้มกัน) ซึ่งก็คือการอนุญาตที่อาณาจักรต่างๆ ได้มอบให้แก่ผู้เดินทางและพ่อค้าเพื่อท่องไปในดินแดนของอาณาจักรนั้นๆ อย่างปลอดภัย ท่านฮาชิมได้ข้อตกลงอัลอิซ็อมกับเจ้าหน้าที่ของจักรพรรดิเปอร์เซียและโรมันตลอดจนตัวแทนของอบิสซิเนียในเมืองชุอัยบะห์เพื่อให้การคุ้มครองความปลอดภัยแก่การค้าของมักกะห์ในอบิสซิเนีย
ด้วยความดีความชอบที่ท่านฮาชิม อิบนุ อับดิมาน๊าฟ ได้จัดระเบียบเอาไว้การค้าของมักกะฮฺก็มีระบบแบบแผนตั้งแต่ยุคก่อนอิสลามและมักกะฮฺก็กลายเป็นตลาดทางการค้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในช่วงยุคกลางแห่งหนึ่งของโลก และภายในโรงเรียนของฮาชิมนั้นชาวอาหรับก็ได้ศึกษาเรียนรู้ถึงการจัดขบวนกองคาราวานสินค้าที่แยบยลและมีระบบและถ่ายทอดกันเป็นมรดกสืบทอดมาจนกระทั่งชาวอาหรับได้กลายเป็นกลุ่มชนที่มีความสันทัดในการจัดขบวนกองคาราวานสินค้ามากที่สุดและพ่อค้าในเอเซียกลางไม่ว่าจะเป็นมองโกล, เติร์ก, อิหร่าน ตลอดจนพ่อค้าในแอฟริกาเหนือก็ได้รับเอาศิลปะแขนงนี้ไปจากชาวอาหรับ
และทั้งๆ ที่คำที่ใช้เรียกกองคาราวานจะไม่ใช้คำในภาษาอาหรับดั้งเดิม นั่นคือคำว่า การาวาน, การฟาน ซึ่งเป็นคำในภาษาเปอร์เซียที่มีความหมายว่า สถานีสินค้า หรือป้อมปราการที่อยู่ในดินแดนทุรกันดาร (ชาวอาหรับเรียกคำว่า การาวานด้วยสำเนียง กอยร่อวาน) นอกเสียจากว่ากองคาราวานสินค้าในประวัติศาสตร์แห่งอารยธรรมของมนุษย์นั้นอยู่เคียงคู่กับชาวอาหรับ ซึ่งพวกเขาก็คือผู้คนแห่งกองคาราวานสินค้าโดยสัญชาตญาณ
อัลมัสอูดีย์ได้กล่าวถึงกองคาราวานของชาวอาหรับและความช่ำชองของพวกเขาในการจัดขบวนคาราวานเอาไว้เสียยืดยาวในหนังสือมุรูญุซซะฮับ และในคำบันทึกของอิบนุบัตตูเตาะห์เองก็มีสิ่งที่เข้าใจได้ว่า ชาวอาหรับเป็นที่เลื่องลือในเรื่องการจัดขบวนกองคาราวาน จนกระทั่งว่า พวกพ่อค้าชาวเติร์ก, เปอร์เซีย และมองโกลเองนั้นยังให้ความสำคัญต่อชาวอาหรับถึงขั้นตั้งให้เป็นนายกองคาราวานและผู้รับผิดชอบในการจัดขบวนสินค้าเป็นการเฉพาะ
กองคาราวานสินค้าเหล่านี้นี่เองที่ถือเป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาวิถีทางที่มีระบบแบบแผนในการเผยแผ่ศาสนาอิสลาม ชาวอาหรับมุสลิมเป็นผู้นำและเจ้าของกองคาราวาน ผู้ร่วมขบวนส่วนใหญ่ก็คือมุสลิมกองคาราวานสินค้าเหล่านี้ได้ท่องไปในดินแดนต่างๆ โดยนำเอาอิสลามไปด้วย
ทุกครั้งที่กองคาราวานจอดพักในสถานที่แห่งหนึ่งแห่งใดก็จะมีการป่าวประกาศ (อะซาน) และดำรงการนมัสการ ผู้คนก็จะได้ประจักษ์เห็น-ซึ่งอาจจะมิใช่มุสลิม-ผู้ร่วมขบวนหลายพันคนเข้าแถวปฏิบัติการนมัสการอย่างมีระเบียบ, มีอากัปกิริยาความสงบนอบน้อมที่เป็นหนึ่งเดียว สิ่งดังกล่าวย่อมส่งอิทธิพลต่อหัวใจของผู้คนที่ได้ประจักษ์เห็น เช่นนี้เองอิสลามได้เคลื่อนสู่เอเซียกลางและเอเซียใต้ตลอดจนตะวันออกเฉียงใต้จากเส้นทางการค้าและกองคาราวาน และในแอฟริกากลางก็เช่นกัน โดยรุกฝ่าเข้าไปในทะเลทรายซะฮาร่าสู่เขตแอฟริกาในเส้นเขตร้อนใต้
ตลอดช่วงเวลาหลายศตวรรษในอดีตชาวอาหรับยังเป็นกลุ่มชนที่มีความชำนาญในการเดินเรือทะเล นอกเหนือจากการเป็นผู้เชี่ยวชาญในการจัดขบวนสินค้าทางบก ชาวอาหรับในเยเมนและเขตฮัฎร่อเมาต์รวมถึงโอมานยังเป็นนักเดินเรือที่เป็นที่รู้จักกันดี ณ จุดนี้เราจะพบว่าชาวอาหรับมีความสันทัดในศาสตร์ของการเดินเรือทะเล พวกเขาได้ตั้งกองเรือล่องสู่ท้องทะเลและมหาสมุทรต่างๆ อย่างเป็นระบบถึงแม้ว่าจะมีขนาดกองเรือที่เล็กก็ตาม ชาวอาหรับรู้จักการใช้ใบเรือและการควบคุมใบเรือ และสามารถนำเรือให้ล่องไปในท้องทะเลที่มีคลื่นสูงด้วยใบเรือนั้น
พวกเขาเรียนรู้ทิศทางลม, พายุฝนและการกำหนดตำแหน่งของดวงดาว จนมีความชำนาญในศาสตร์ของการเดินเรือ พวกเขาศึกษาน่านน้ำและท้องทะเล, เส้นทาง, ท่าจอดเรือ และตำแหน่งของดวงดาวทางทิศตะวันตก มีนักเดินเรือชาวอาหรับที่มีความช่ำชองปรากฏขึ้นในหน้าประวัติศาสตร์หลายต่อหลายคน โดยขนานนามว่า อัรร่อบาบินะห์ (ผู้ควบคุมกองเรือ) โดยมีอยู่สี่คนที่ได้ฉายานามว่า ราชสีห์แห่งท้องทะเลที่สำคัญที่สุดก็คือ สุลัยมาน อัลมีรีย์ และชีฮาบุดดีน อะห์หมัด อิบนุ มาญิ๊ด
ความชำนาญในศาสตร์การเดินเรือของชาวอาหรับทางตอนใต้คาบสมุทอาหรับคือสิ่งที่ทำให้พวกเขาเป็นผู้มีอำนาจในน่านน้ำแถบนี้จวบจนกระทั่งพวกโปรตุเกสได้เข้ามาในช่วงศตวรรษที่ 16 และนักเดินเรือชาวอาหรับก็ได้ทำให้พวกโปรตุเกสประจักษ์ถึงความเก่งกาจของตน ชาวโอมานจึงเป็นพวกแรกที่ทำลายกองเรือของโปรตุเกสและขับไล่พวกโปรตุเกสออกไปจากน่านน้ำของอ่าวอาหรับ
การค้าทางทะเลหรือพาณิชย์นาวีที่ชาวอาหรับเป็นผู้สันทัดกรณีนับได้ว่าเป็นเส้นทางที่สำคัญประการหนึ่งในการแพร่หลายของอิสลาม กองเรือของชาวอาหรับได้นำอิสลามสู่แอฟริกาตะวันออกจรดเมืองท่าสุฟาละห์ (سُفَالَة) และโมซัมบิก และนำอิสลามสู่เขตชายฝั่งของอินเดียตะวันออก ต่อจากนั้นก็เข้าสู่มะลักกา และดินแดนอัลมิฮฺรอจ หรืออินโดนีเซียในปัจจุบันตลอดจนดินแดนทางเหนือของอินโดนีเซียในหมู่เกาะฟิลิปปินส์
เมื่อเราได้ติดตามสังเกตการไหลของน้ำลงสู่เบื้องต่ำเราจะพบว่าน้ำจะไหลเชี่ยวกรากลงสู่ทุ่งโล่งและรวมตัวอยู่ในพื้นที่ที่มีสิ่งขวางกั้นเพื่อรอเวลาที่จะเอ่อล้นสู่เส้นทางสายใหม่ กระแสน้ำอันเชี่ยวกรากยังคงไหลอยู่เช่นนั้นอย่างต่อเนื่องและจะมีการแยกเส้นทางออกไปจากลำน้ำเดิม ไปบรรจบกันอีกในช่วงหนึ่งและรวมตัวกันจนกลายเป็นลำห้วย คูคลองและแม่น้ำน้อย หลังจากนั้นก็จะกลับกลายเป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่มีน้ำไหลเอื่อยอยู่ตลอดเวลา แม่น้ำสายใหญ่ทั้งหลายที่มีลำน้ำเป็นเส้นทางยาวมากๆ ก็ย่อมมีสาขาของแม่น้ำนั้นมากเช่นกัน
และนั่นก็คือจุดกำเนิดของชุมชนและความเจริญ ส่วนสายน้ำที่ไหลเอื่อยจนสู่แก่งตะกอนและแคบลงเรื่อยๆ จนกระทั่งลับหายไปในพื้นดินก็ย่อมไม่มีความเจริญเกิดขึ้นบนลำน้ำนั้น เมื่อเราได้ตั้งคำถามถึงเส้นทางของอิสลาม เราก็จะพูดถึงเส้นทางต่างๆ ดังกล่าวที่กระแสแห่งการเรียกร้องได้มารวมตัวกันตามเส้นทางนั้นจนเกิดเป็นสายน้ำที่พวยพุ่งจากความศรัทธาและทำให้เมืองทั้งเมืองหรือส่วนใหญ่เป็นอิสลาม ดังกล่าวนั้นคือเส้นทางอันหลากหลายที่เราให้ความสำคัญในการมุ่งวิเคราะห์ศึกษา
เส้นทางแรกๆ ของการเผยแผ่อิสลามก็คือ เส้นทางการค้าขาย เมื่ออิสลามยังคงเป็นศาสนาที่โบยบิน คือเคลื่อนย้ายจากบุคคลหนึ่งสู่อีกบุคคลหนึ่ง และจากกลุ่มชนหนึ่งสู่อีกกลุ่มชนหนึ่ง ก็ย่อมจะต้องปรากฏว่ามนุษย์ผู้ทำหน้าที่ขับเคลื่อนนั้นมีการเคลื่อนไหว หรือกลุ่มชนนั้นๆ จะต้องมีการเคลื่อนไหว ขบวนการที่มีการเคลื่อนไหวของมนุษย์ที่มีระบบแบบแผนมากที่สุดก็คือการเคลื่อนไหวตามเส้นทางการค้าขาย ทั้งนี้เพราะการค้าขายคือตัวสินค้าทั้งหลายแหล่ที่มนุษย์มีความต้องการตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา
ในยุคปัจจุบันนี้สินค้าจะมีการขนถ่ายผ่านเส้นทางการเดินเรือ, เครื่องบิน และรถไฟ บรรดาพ่อค้าจะรอคอยสินค้าของตนที่ถูกส่งมาโดยไม่ยุ่งยากและเกิดความยากลำบากในการรับส่งสินค้า โดยไม่ต้องพึ่งพาบริษัทขนส่งสินค้าหรือบริษัทประกันภัยสินค้า นอกจากนี้เส้นทางการค้ายังเป็นเส้นทางการติดต่อของมวลมนุษย์อีกด้วย กองคาราวานสินค้าขนาดใหญ่ซึ่งมีผู้คนหลายร้อยหลายพันชีวิตร่วมขบวนมาจะใช้เส้นทางเหล่านั้นลำเลียงสินค้าและขนถ่าย พ่อค้าทุกคนจะมีลูกน้องผู้ติดตามและลูกหาบที่คอยแบกสัมภาระและสินค้า ด้วยเหตุดังกล่าว กองคาราวานจึงเปรียบดุจดังสายน้ำที่พวยพุ่งจากผู้คนที่ดำเนินไปในเส้นทางที่ถูกกำหนดไว้ในแต่ละปี
ในช่วงยุคกลาง มุสลิมคือผู้คนส่วนใหญ่ที่ร่วมขบวนคาราวานสินค้า โดยไม่เคยปรากฏว่าชาวอินเดีย, เปอร์เซีย, มองโกลหรือชาวยุโรปเป็นเจ้าของกองคาราวานที่มีระเบียบขนาดใหญ่ ทั้งนี้เพราะดินแดนของอินเดีย, เปอร์เซียและยุโรปไม่มีพื้นที่อันเป็นท้องทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไพศาลที่มีความจำเป็นในการจัดตั้งกองคาราวานที่มีระเบียบ และในดินแดนดังกล่าว ชุมชน หมู่บ้าน และหัวเมืองอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน นักเดินทาง, พ่อค้าจะโยกย้ายจากตำบลหนึ่งสู่อีกตำบลหนึ่งภายในระยะทางเพียงหนึ่งวัน หรืออาจไม่ถึงจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีกองคาราวานขนาดใหญ่ที่มีระเบียบ
ส่วนชาวอาหรับนั้นดินแดนของพวกเขาคือท้องทะเลทรายที่ส่วนต่างๆ มิอาจจะติดต่อกันได้นอกจากการใช้กองคาราวานขนาดใหญ่ที่มีการคุ้มกัน หรือดำเนินไปในเส้นทางที่ปลอดภัย จากการทำข้อตกลงกับเผ่าต่างๆ ที่มีหลักแหล่งตามรายทาง
ประการต่อมาก็คือว่า ดินแดนที่ชาวอาหรับนำสินค้ามาจากดินแดนเหล่านั้นเป็นพื้นทะเลทรายเสียเป็นส่วนใหญ่ เช่น ที่ราบสูงอิหร่าน, ทะเลทรายในเอเซียกลาง, ทะเลทรายที่เชื่อมต่อกับชมพูทวีป, ชนบทของซีเรียและคาบสมุทรไซนาย ทะเลทรายทางตะวันออกของอียิปต์ และทะเลทรายซาฮาร่าในแอฟริกา
ชาวอาหรับซึ่งอยู่ในท้องทะเลทรายของตนได้จัดตั้งกองคาราวานขนาดใหญ่อย่างเป็นระบบในยุคก่อนอิสลาม นครมักกะห์ คือ ตลาดทางการค้าที่ใหญ่ที่สุดที่อาศัยกองคาราวาน เป็นที่ทราบกันในประวัติศาสตร์ว่า ท่านฮาชิม อิบนุ อับดิมาน๊าฟ ปู่ของท่านศาสดา (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) คือบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งที่มีความช่ำชองในการจัดขบวนคาราวานสินค้าที่รู้จักในประวัติศาสตร์
ท่านกุซ็อยซ์ อิบนุ กิล๊าบ ซึ่งเป็นผู้สร้างฐานอำนาจของกุเรซและเป็นผู้นำเผ่ากุเรซเข้ายึดครองมักกะฮฺและเปลี่ยนให้มักกะฮฺเป็นฐานที่มั่นของกุเรซก็คือผู้ที่สืบทอดมรดกอันรุ่งโรจน์ของท่านฮาชิมในเวลาต่อมา เมื่อท่านกุซ็อยย์ได้เป็นผู้นำทางทหารและการเมืองที่มีความเชี่ยวชาญแล้ว ท่านก็ทราบดีถึงการที่ท่านจะปกครองกลุ่มชนในมักกะห์และเขตปริมณฑลอย่างไร
ท่านฮาชิมเป็นนักการค้าและคหบดี ท่านสามารถวางรากฐานอันแข็งแกร่งทางการค้าของมักกะฮฺ โดยกำหนดหุ้นส่วนในการลงทุนอย่างเป็นระบบซึ่งชาวมักกะฮฺทุกคนจะมีหุ้นส่วนในการค้าสู่แคว้นชามและยะมัน ต่อมาท่านฮาชิมก็จะทำข้อตกลงกับเผ่าต่างๆ ที่กองคาราวานสินค้าต้องใช้เส้นทางผ่านจากยะมันสู่มักกะฮฺและจากมักกะฮฺสู่หัวเมืองชามหรืออียิปต์, กาซ่า หรืออิรัก ข้อตกลงเหล่านี้เป็นที่รู้จักกันในนาม อัลอีล๊าฟ (การสร้างความปลอดภัย)
นอกจากนี้ท่านฮาชิมยังได้ทำข้อตกลงอัลอิซ็อม (การคุ้มกัน) ซึ่งก็คือการอนุญาตที่อาณาจักรต่างๆ ได้มอบให้แก่ผู้เดินทางและพ่อค้าเพื่อท่องไปในดินแดนของอาณาจักรนั้นๆ อย่างปลอดภัย ท่านฮาชิมได้ข้อตกลงอัลอิซ็อมกับเจ้าหน้าที่ของจักรพรรดิเปอร์เซียและโรมันตลอดจนตัวแทนของอบิสซิเนียในเมืองชุอัยบะห์เพื่อให้การคุ้มครองความปลอดภัยแก่การค้าของมักกะห์ในอบิสซิเนีย
ด้วยความดีความชอบที่ท่านฮาชิม อิบนุ อับดิมาน๊าฟ ได้จัดระเบียบเอาไว้การค้าของมักกะฮฺก็มีระบบแบบแผนตั้งแต่ยุคก่อนอิสลามและมักกะฮฺก็กลายเป็นตลาดทางการค้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในช่วงยุคกลางแห่งหนึ่งของโลก และภายในโรงเรียนของฮาชิมนั้นชาวอาหรับก็ได้ศึกษาเรียนรู้ถึงการจัดขบวนกองคาราวานสินค้าที่แยบยลและมีระบบและถ่ายทอดกันเป็นมรดกสืบทอดมาจนกระทั่งชาวอาหรับได้กลายเป็นกลุ่มชนที่มีความสันทัดในการจัดขบวนกองคาราวานสินค้ามากที่สุดและพ่อค้าในเอเซียกลางไม่ว่าจะเป็นมองโกล, เติร์ก, อิหร่าน ตลอดจนพ่อค้าในแอฟริกาเหนือก็ได้รับเอาศิลปะแขนงนี้ไปจากชาวอาหรับ
และทั้งๆ ที่คำที่ใช้เรียกกองคาราวานจะไม่ใช้คำในภาษาอาหรับดั้งเดิม นั่นคือคำว่า การาวาน, การฟาน ซึ่งเป็นคำในภาษาเปอร์เซียที่มีความหมายว่า สถานีสินค้า หรือป้อมปราการที่อยู่ในดินแดนทุรกันดาร (ชาวอาหรับเรียกคำว่า การาวานด้วยสำเนียง กอยร่อวาน) นอกเสียจากว่ากองคาราวานสินค้าในประวัติศาสตร์แห่งอารยธรรมของมนุษย์นั้นอยู่เคียงคู่กับชาวอาหรับ ซึ่งพวกเขาก็คือผู้คนแห่งกองคาราวานสินค้าโดยสัญชาตญาณ
อัลมัสอูดีย์ได้กล่าวถึงกองคาราวานของชาวอาหรับและความช่ำชองของพวกเขาในการจัดขบวนคาราวานเอาไว้เสียยืดยาวในหนังสือมุรูญุซซะฮับ และในคำบันทึกของอิบนุบัตตูเตาะห์เองก็มีสิ่งที่เข้าใจได้ว่า ชาวอาหรับเป็นที่เลื่องลือในเรื่องการจัดขบวนกองคาราวาน จนกระทั่งว่า พวกพ่อค้าชาวเติร์ก, เปอร์เซีย และมองโกลเองนั้นยังให้ความสำคัญต่อชาวอาหรับถึงขั้นตั้งให้เป็นนายกองคาราวานและผู้รับผิดชอบในการจัดขบวนสินค้าเป็นการเฉพาะ
กองคาราวานสินค้าเหล่านี้นี่เองที่ถือเป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาวิถีทางที่มีระบบแบบแผนในการเผยแผ่ศาสนาอิสลาม ชาวอาหรับมุสลิมเป็นผู้นำและเจ้าของกองคาราวาน ผู้ร่วมขบวนส่วนใหญ่ก็คือมุสลิมกองคาราวานสินค้าเหล่านี้ได้ท่องไปในดินแดนต่างๆ โดยนำเอาอิสลามไปด้วย
ทุกครั้งที่กองคาราวานจอดพักในสถานที่แห่งหนึ่งแห่งใดก็จะมีการป่าวประกาศ (อะซาน) และดำรงการนมัสการ ผู้คนก็จะได้ประจักษ์เห็น-ซึ่งอาจจะมิใช่มุสลิม-ผู้ร่วมขบวนหลายพันคนเข้าแถวปฏิบัติการนมัสการอย่างมีระเบียบ, มีอากัปกิริยาความสงบนอบน้อมที่เป็นหนึ่งเดียว สิ่งดังกล่าวย่อมส่งอิทธิพลต่อหัวใจของผู้คนที่ได้ประจักษ์เห็น เช่นนี้เองอิสลามได้เคลื่อนสู่เอเซียกลางและเอเซียใต้ตลอดจนตะวันออกเฉียงใต้จากเส้นทางการค้าและกองคาราวาน และในแอฟริกากลางก็เช่นกัน โดยรุกฝ่าเข้าไปในทะเลทรายซะฮาร่าสู่เขตแอฟริกาในเส้นเขตร้อนใต้
ตลอดช่วงเวลาหลายศตวรรษในอดีตชาวอาหรับยังเป็นกลุ่มชนที่มีความชำนาญในการเดินเรือทะเล นอกเหนือจากการเป็นผู้เชี่ยวชาญในการจัดขบวนสินค้าทางบก ชาวอาหรับในเยเมนและเขตฮัฎร่อเมาต์รวมถึงโอมานยังเป็นนักเดินเรือที่เป็นที่รู้จักกันดี ณ จุดนี้เราจะพบว่าชาวอาหรับมีความสันทัดในศาสตร์ของการเดินเรือทะเล พวกเขาได้ตั้งกองเรือล่องสู่ท้องทะเลและมหาสมุทรต่างๆ อย่างเป็นระบบถึงแม้ว่าจะมีขนาดกองเรือที่เล็กก็ตาม ชาวอาหรับรู้จักการใช้ใบเรือและการควบคุมใบเรือ และสามารถนำเรือให้ล่องไปในท้องทะเลที่มีคลื่นสูงด้วยใบเรือนั้น
พวกเขาเรียนรู้ทิศทางลม, พายุฝนและการกำหนดตำแหน่งของดวงดาว จนมีความชำนาญในศาสตร์ของการเดินเรือ พวกเขาศึกษาน่านน้ำและท้องทะเล, เส้นทาง, ท่าจอดเรือ และตำแหน่งของดวงดาวทางทิศตะวันตก มีนักเดินเรือชาวอาหรับที่มีความช่ำชองปรากฏขึ้นในหน้าประวัติศาสตร์หลายต่อหลายคน โดยขนานนามว่า อัรร่อบาบินะห์ (ผู้ควบคุมกองเรือ) โดยมีอยู่สี่คนที่ได้ฉายานามว่า ราชสีห์แห่งท้องทะเลที่สำคัญที่สุดก็คือ สุลัยมาน อัลมีรีย์ และชีฮาบุดดีน อะห์หมัด อิบนุ มาญิ๊ด
ความชำนาญในศาสตร์การเดินเรือของชาวอาหรับทางตอนใต้คาบสมุทอาหรับคือสิ่งที่ทำให้พวกเขาเป็นผู้มีอำนาจในน่านน้ำแถบนี้จวบจนกระทั่งพวกโปรตุเกสได้เข้ามาในช่วงศตวรรษที่ 16 และนักเดินเรือชาวอาหรับก็ได้ทำให้พวกโปรตุเกสประจักษ์ถึงความเก่งกาจของตน ชาวโอมานจึงเป็นพวกแรกที่ทำลายกองเรือของโปรตุเกสและขับไล่พวกโปรตุเกสออกไปจากน่านน้ำของอ่าวอาหรับ
การค้าทางทะเลหรือพาณิชย์นาวีที่ชาวอาหรับเป็นผู้สันทัดกรณีนับได้ว่าเป็นเส้นทางที่สำคัญประการหนึ่งในการแพร่หลายของอิสลาม กองเรือของชาวอาหรับได้นำอิสลามสู่แอฟริกาตะวันออกจรดเมืองท่าสุฟาละห์ (سُفَالَة) และโมซัมบิก และนำอิสลามสู่เขตชายฝั่งของอินเดียตะวันออก ต่อจากนั้นก็เข้าสู่มะลักกา และดินแดนอัลมิฮฺรอจ หรืออินโดนีเซียในปัจจุบันตลอดจนดินแดนทางเหนือของอินโดนีเซียในหมู่เกาะฟิลิปปินส์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น