กฎหมายอิสลามเบื้องต้น : คุณค่าองค์ประกอบหลัก 5 ประการ ในศาสนาอิสลาม
(อาลี เสือสมิง)
ศาสนาอิสลาม มีองค์ประกอบหลัก 5 ประการเรียกในภาษาอาหรับว่า “อัรฺกานุลฺ-อิสลาม” ได้แก่
(1) การปฏิญาณตน (อัช-ชะฮาดะฮฺ)
(2) การละหมาดฟัรฎู 5 เวลา
(3) การบริจาคซะกาฮฺ
(4) การถือศีลอดในเดือนร่อมาฎอน
(5) การประกอบพิธีฮัจญ์ ณ บัยติลลาฮฺ-อัลหะรอม
(หลักฐาน) รายงานจากอบี อับดิรเราะฮฺมาน อับดิลลาฮฺ อิบนิ อุมัร อิบนิ อัลค็อตตอบ (ร.ฎ.) ว่า : ฉันเคยได้ยินท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ (سبحا نه وتعالي) กล่าวว่า :
بُنِيَ الإِسْلاَمُ عَلى خَمْسٍ : شَهَادَةِ أَنْ لاَ إِلهَ إِلاَّ الله وَأَنَّ مُحَمَّدًارَسُوْلُ اللهِ ،
وإقَامِ الصَّلاَةِ و إيْتَاءِ الزَّكَاةِ ، و حَجِّ الْبَيتِ ، وَصَوْمِ رَمَضَانَ
رَواه البُخارِيّ ومُسْلِم
“อัล-อิสลามตั้งอยู่บน 5 ประการ : (คือ) การปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าองค์ใดที่ถูกเคารพสักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากอัลลอฮฺและแท้จริงมุฮำหมัดคือศาสนทูตของอัลลอฮฺ,การดำรงละหมาด,การนำมาซึ่งการบริจาคซะกาฮฺ,การประกอบพิธีฮัจญ์ ณ บัยติลลาฮฺ และการถือศีลอดในเดือนรอมาฎอน” (รายงานโดย บุคอรีและมุสลิม)
องค์ประกอบหลักทั้ง 5 ประการในศาสนาอิสลามมีความเกี่ยวพันซึ่งกันและกัน ผู้ใดนำพาทั้ง 5 ประการอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ผู้นั้นคือมุสลิมผู้มีศรัทธาอันสมบูรณ์ และผู้ใดละทิ้งทั้ง 5 ประการ ผู้ นั้นเป็นผู้ปฏิเสธ (กาเฟร) โดยเด็ดขาด และผู้ใดปฏิเสธประการหนึ่งประการใดจาก 5 ประการนั้น ผู้นั้นมิใช่มุสลิมโดยมติเห็นพ้อง (อัล-อิจญ์มาอฺ)
และผู้ใดมีความเชื่อในหลัก 5 ประการทั้งหมด แต่ละเลยประการหนึ่งนอกเหนือจากการปฏิญาณตน (อัชชะอาดะฮฺ) โดยเกียจคร้าน ผู้นั้นเป็นผู้ฝ่าฝืน (ฟาซิก) และผู้ใดนำพาเพียงแต่การปฏิบัติและยืนยันด้วยลิ้นของตนโดยการเสแสร้ง ผู้นั้นคือผู้กลับกลอก (มุนาฟิก) (ดร. มุสตอฟา อัลบุฆอ, มุฮัยยิดดีน มิสตู; อัลวาฟีย์ ฟี ชัรฮัล อัลอัรบะอีน อันนะวาวียะฮฺ หน้า 19)
ประเภทขององค์ประกอบหลักของศาสนาอิสลาม
องค์ประกอบหลักของศาสนาอิสลามทั้ง 5 ประการนี้แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
(1) วจีกรรม (เกาลียะฮฺ) คือการปฏิญาณตนด้วย 2 ประโยคนั้น
(2) กิจกรรม (อะมะลียะฮฺ) คือองค์ประกอบหลักจากประการที่เหลือ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ
- กิจกรรมทางกาย (บะดะนียะฮฺ) คือการละหมาดและการถือศีลอด
- กิจกรรมทางทรัพย์ (มาลิยะฮฺ) คือการบริจาคซะกาฮฺ
- กิจกรรมทางกายและทางทรัพย์ (บะดะนียะฮฺ-มาลิยะฮฺ) คือการประกอบพิธีฮัจญ์ และคำกล่าวของหัวใจตลอดจนงานของหัวใจถือเป็นเงื่อนไขในทุกประการ (ชัยค์ฮาฟิซ อิบนุ อะฮฺหมัด อาล-ฮุกมีย์ ; มุคตะซอร มะอาริญิลกอบูล ; หน้า 170)
คุณค่าของการปฏิญาณตน (อัช–ชะฮาดะฮฺ)
การปฏิญาณตน (อัชชะฮาดะฮฺ) ถือเป็นหลักมูลฐานสำหรับองค์ประกอบหลักในศาสนาอิสลามที่เหลืออีก 4 ประการกล่าวคือ บุคคลจะไม่เข้าสู่สิ่งหนึ่งสิ่งใดจากหลักนิติธรรมอิสลาม (จะไม่ถือว่าผู้นั้นเป็นมุสลิม) นอกจากต้องมีการปฏิญาณตนนั้น และบุคคลจะไม่ออกจากศาสนา (ตกมุรตัด) นอกจากด้วยการกระทำที่ขัดแย้งกับนัยของ 2 ประโยคที่ถูกกล่าวในการปฏิญาณตน
ด้วยเหตุนี้ ท่านนบีมุฮัมมัด (ซ.ล.) จึงไม่ได้เรียกร้องสู่สิ่งใดก่อนการปฏิญาณตนด้วยประโยคทั้งสอง และอัลลอฮฺ (سبحا نه وتعالي) จะทรงไม่ตอบรับการกระทำของผู้หนึ่งผู้ใดที่ไม่มีการปฏิญาณตนด้วย 2 ประโยคนั้น และการกล่าวปฏิญาณด้วยประโยคที่ว่า (لاَ إلهَ اِلاَّالله) เป็นการให้เอกภาพต่อพระผู้ทรงถูกเคารพสักการะโดยเที่ยงแท้ พระผู้ทรงเอกะและไม่มีภาคีใดๆสำหรับพระองค์ ในการกล่าวประโยคที่ 2 คือ (مُحَمَّدٌرَسُوْلُ اللهِ) เป็นการยอมรับในความเป็นหนึ่งเดียวของวิถีทางที่จะนำสู่การรู้จักอัลลอฮฺ (سبحا نه وتعالي) และแนวทางในการเคารพสักการะต่อพระองค์
และส่วนหนึ่งจากคุณค่าของการปฏิญาณตนด้วยประโยคทั้งสองนั้น คือ
- คือหนทางแห่งความผาสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้าการเคร่งครัดในการปฏิบัติตามนัยของประโยคทั้งสองคือ ความรอดพ้นจากนรกภูมิ และการได้รับสวนสวรรค์เป็นสิ่งตอบแทน
- ประโยคทั้งสองถือเป็นความโปรดปราณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดซึ่งพระองค์อัลลอฮฺ (سبحا نه وتعالي) ทรงประทานแก่มวลบ่าวของพระองค์
- คือบทรำลึกถึงพระองค์อัลลอฮฺ (سبحا نه وتعالي) ที่ประเสริฐสุดอีกทั้งเป็นสิ่งที่ทำให้ตาชั่งแห่งคุณงามความดีมีน้ำหนักมากที่สุด เป็นต้น
นักวิชาการได้ระบุถึงเงื่อนไขของการกล่าวคำปฏิญาณทั้ง 2 ประโยคในการบังเกิดคุณค่าข้างต้นว่าต้องมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้เกิดขึ้นอย่างครบถ้วน คือ
- มีความตระหนักรู้ถึงจุดมุ่งหมายและนัยของประโยคทั้งสอง (อัล-อิลมุ้)
- มีความมั่นใจ (อัล-ยะกีน) ไม่สงสัยคลางแคลง
- ยอมรับโดยดุษฎี (อัล-ก่อบูล)
- น้อมนำปฏิบัติตาม (อัล-อิงกิยาดฺ)
- มีความสัตย์ (อัศ-ศิดกุ้)
- มีความบริสุทธิ์ใจ (อัล-อิคลาศ)
- มีความรัก (อัล-มะฮับบะฮฺ) ในประโยคทั้งสองนั้น
(อ้างแล้ว หน้า 99-102 โดยสรุป)
คุณค่าของการละหมาด (อัศ–เศาะลาฮฺ)
การละหมาด (อัศ-เศาะลาฮฺ) ถือเป็นการประกอบศาสนกิจที่สำคัญที่สุดสำหรับชาวมุสลิม ในแต่ละวันชาวมุสลิมจะต้องปฏิบัติละหมาด 5 เวลาซึ่งเรียกว่า การละหมาดฟัรฎู 5 เวลา อันประกอบด้วย ละหมาด อัศ-ศุบหฺ,ละหมาด อัซ-ซุฮฺร์,ละหมาดอัลอัศรฺ,ละหมาดมัฆริบ และละหมาดอิชาอฺ การละหมาดถือเป็นเสาหลักของศาสนา เป็นเครื่องหมายของผู้ศรัทธา ผู้ใดละทิ้งการละหมาดโดยปฏิเสธถึงความเป็นภารกิจของการละหมาดหรือดูถูกดูแคลนการละหมาด ผู้นั้นถือเป็นผู้ปฏิเสธที่ตกจากศาสนาอิสลาม (มุรตัด)
โดยจำเป็นที่ผู้ปกครองมุสลิมต้องสั่งใช้ให้ผู้นั้นสำนึกผิดและกลับเนื้อกลับตัว (เตาบะฮฺ)ถ้าหากผู้นั้นแข็งขืนและไม่ยอมสำนึกผิดก็ย่อมมีโทษถึงขั้นประหารชีวิต (ในกรณีที่ผู้นั้นอยู่ในประเทศมุสลิมที่มีการบังคับใช้กฎหมายอิสลาม) โดยถือว่าผู้นั้นเป็นผู้ตกจากศาสนา (มุรตัด) ไม่อนุญาตให้จัดการศพของเขาอย่างชาวมุสลิม และไม่อนุญาตให้ฝังศพของเขาในสุสานของชาวมุสลิม
ส่วนผู้ใดละทิ้งการละหมาดเนื่องจากเกียจคร้านโดยเขาเชื่อว่าการละหมาดนั้นเป็นภารกิจจำเป็น ผู้นั้นจะต้องถูกบังคับจากผู้ปกครองมุสลิมให้ทำการชดใช้ (กอฎออฺ) การละหมาดและสำนึกผิดจากกรณีฝ่าฝืนดังกล่าว แต่ถ้าผู้นั้นไม่ลุกขึ้นชดใช้การละหมาดก็ให้ประหารชีวิตผู้นั้นเสียโดยถือเป็นโทษในลักษณะอาญา (อัล-ฮัดดฺ) เนื่องจากเป็นการละทิ้งสิ่งที่เป็นภารกิจจำเป็น (ฟัรฎู) และถือว่าเขาผู้นั้นเป็นมุสลิมผู้ฝ่าฝืน (ฟาซิก) มิใช่ผู้ตกศาสนา (มุรตัด) โดยปฏิบัติกับศพของเขาอย่างชาวมุสลิมตามปกติ (เก็บความจาก อัลฟิกฮุ้ล มันฮะญีย์ เล่มที่ 1 หน้า 103)
สำหรับการละหมาดนั้นมีคุณค่าและวิทยปัญญาอันมากมาย กล่าวโดยสรุป คือ
- การละหมาดจะชำระและขัดเกลาจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์
- การละหมาดทำให้บ่าวผู้ภักดีมีความพร้อมสำหรับการเข้าเฝ้าพระองค์อัลลอฮฺ (سبحا نه وتعالي) ในโลกดุนยาและได้ใกล้ชิดกับพระองค์ในโลกหน้า
- การรักษาละหมาดอย่างเคร่งครัดและปฏิบัติอย่างครบถ้วนสมบูรณ์จะเป็นสิ่งที่หักห้ามผู้ปฏิบัติละหมาดจากสิ่งน่ารังเกียจทั้งหลายตลอดจนสิ่งที่ผิดต่อหลักศีลธรรมอันดีงาม
- การละหมาดคือเสาหลักของศาสนาและเป็นสิ่งที่แบ่งแยกระหว่างผู้ศรัทธากับผู้ปฏิเสธ
- การละหมาดครบ 5 เวลาจะเป็นสิ่งที่ชำระให้ผู้ปฏิบัติละหมาดสะอาดบริสุทธิ์จากบาปเล็กทั้งหลายตราบใดที่ผู้ที่ปฏิบัติละหมาดนั้นมิได้กระทำบาปใหญ่ เป็นต้น
(เก็บความจาก มินฮาญุ้ลมุสลิม; อบูบักร ญาบิร อัลญะซาอิรีย์ หน้า 166-167)
คุณค่าของการบริจาคซะกาฮฺ
การบริจาคซะกาฮฺถือเป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาภารกิจสำคัญของศาสนาซึ่งถือเป็นสิ่งที่รู้กันโดยภาวะจำเป็น ผู้ใดปฏิเสธความเป็นภาระกิจจำเป็นของการบริจาคซะกาฮฺผู้นั้นตกจากศาสนาอิสลามและต้องโทษประหารชีวิตยกเว้นกรณีที่ผู้นั้นเพิ่งเข้ารับอิสลาม ส่วนผู้ที่ปฏิเสธจากการบริจาคซะกาฮฺพร้อมกับมีความเชื่อว่าการบริจาคซะกาฮฺเป็นสิ่งที่จำเป็น ผู้นั้นมีบาปและถือเป็นผู้ฝ่าฝืน (ฟาซิก)
โดยผู้ปกครองมุสลิมจำต้องบังคับเอาทรัพย์ซะกาฮฺจากผู้นั้น และถ้าหากกลุ่มชนหนึ่งปฏิเสธที่จะบริจาคซะกาฮฺพร้อมกับมีความเชื่อว่าการบริจาคซะกาฮฺเป็นสิ่งจำเป็น และกลุ่มชนนั้นมีกำลังพลและอาวุธก็ให้ประมุขของรัฐอิสลามทำการสู้รบกับพวกเขาจนกว่าพวกเขาจะยอมจ่ายซะกาฮฺ (เก็บความจาก ฟิกฮุสสุนนะฮฺ,ฮัซซัยยิด ซาบิก เล่มที่ 1 หน้า 466)
ส่วนหนึ่งจากคุณค่าและประโยชน์ของการบริจาคซะกาฮฺ คือ
- การบริจาคซะกาฮฺที่มุสลิมได้ปฏิบัติโดยสนองรับพระบัญชาของพระองค์อัลลอฮฺ (سبحا نه وتعالي) และมุ่งแสวงหาความโปรดปราณของพระองค์ จะเป็นสิ่งที่ชำระให้ผู้บริจาคซะกาฮฺสะอาดหมดจดจากบาปโดยเฉพาะบาปที่เกิดจากความตระหนี่ถี่เหนียว
- การบริจาคซะกาฮฺเป็นการฝึกให้มุสลิมมีจริยธรรมในการเสียสละและการเป็นผู้ให้ตลอดจนเป็นการรักษาหัวใจให้พ้นจากการหลงโลกดุนยา
- การบริจาคซะกาฮฺเป็นการแสดงออกถึงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของอัลลอฮฺ (سبحا نه وتعالي) ที่มีต่อบ่าวและยกระดับจิตวิญญาณของผู้บริจาคซะกาฮฺให้สูงส่ง
- การบริจาคซะกาฮเป็นการลดช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยและนำมาซึ่งความรัก ความผูกผันระหว่างกลุ่มชนทั้งสอง อีกทั้งยังเป็นการชำระให้ทรัพย์สินมีความบริสุทธิ์และทำให้ทรัพย์สินนั้นมีความจำเริญและเพิ่มพูน
- การบริจาคซะกาฮฺเป็นการทำให้ระบบเศรษฐกิจมีการหมุนเวียนและเป็นการประกันสังคม
(เก็บความจาก ฟิกฮุซ-ซะกาฮฺ ; ดร. ยูซุฟ อัลกอรฏอวีย์ เล่มที่ 2 หน้า 707-934)
คุณค่าและประโยชน์ของการถือศีลอด (อัสเศามฺ)
การถือศีลอด (อัส-เศามฺ) ในเดือนรอมาฎอนเป็นส่วนหนึ่งจากองค์ประกอบหลัก 5 ประการในศาสนาอิสลาม ผู้ใดปฏิเสธความเป็นภารกิจจำเป็นของการถือศีลอด ผู้นั้นเป็นผู้ปฏิเสธ กล่าวคือ ผู้นั้นจะได้รับการปฏิบัติเยี่ยงผู้ตกศาสนา (มุรตัด) โดยจะถูกร้องขอให้มีการสำนึกผิด (เตาบะฮฺ) ถ้าหากผู้นั้นยังคงยืนกรานก็ต้องถูกประหารชีวิตตามกฎหมายลักษณะอาญาทั้งนี้ในกรณีที่ผู้นั้นมิใช่ผู้ที่เพิ่งเข้ารับอิสลามหรือเติบโตในสถานที่ห่างไกลจากบรรดาผู้รู้ทางศาสนา
ส่วนผู้ใดละทิ้งการถือศีลอดโดยไม่มีอุปสรรคที่ศาสนาผ่อนผันให้และมิได้ปฏิเสธความเป็นภารกิจจำเป็นของการถือศีลอด ผู้นั้นเป็นผู้ฝ่าฝืน (ฟาซิก) มิใช่เป็นผู้ปฏิเสธ (กาฟิร) และจำเป็นที่ผู้ปกครองมุสลิมจะต้องคุมขังผู้นั้นและห้ามมิให้ผู้นั้นได้รับอาหารและเครื่องดื่มในช่วงเวลากลางวัน เพื่อให้มีการถือศีลอดเกิดขึ้นกับผู้นั้น ถึงแม้จะเป็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอกก็ตาม (อัลฟิกฮุลมันฮะญี่ย์ เล่มที่ 2 หน้า 74)
ส่วนหนึ่งจากคุณค่าและประโยชน์ของการถือศีลอด (อัส-เศามฺ) คือ
- การถือศีลอดอย่างถูกต้องตามกฎเกณฑ์ที่ศาสนากำหนดเอาไว้จะปลุกจิตสำนึกของผู้ศรัทธาให้รับรู้ถึงการสอดส่องของพระองค์อัลลอฮฺ (سبحا نه وتعالي) และเตือนให้ผู้ศรัทธาตระหนักอยู่เสมอว่าตนเป็นบ่าวผู้ยอมจำนนต่อคำบัญชาและพระประสงค์ของพระองค์
- การถือศีลอด (อัส-เศามฺ) เป็นการยกระดับจิตวิญญาณให้มีความสูงส่งและเป็นการฝึกให้มีความเคยชินต่อความอดทนอดกลั้นตลอดจนการต่อสู้กับอารมณ์ใฝ่ต่ำ
- เป็นการกระทำให้ผู้ถือศีลอดรับรู้ถึงคุณค่าของความโปรดปราณที่พระองค์อัลลอฮฺ (سبحا نه وتعالي) ทรงประทานให้ โดยบุคคลจะรับรู้ถึงคุณค่าของความอิ่มที่เกิดจากการทานอาหารและการดื่มน้ำก็ต่อเมื่อเขามีความหิวโหยและความกระหาย อีกทั้งยังทำให้บุคคลรับรู้ถึงความลำบากของผู้ขัดสนที่ต้องประสบกับความหิวโหยอยู่เสมอ อันจักนำไปสู่ความเมตตาสงสารแก่พวกเขาเหล่านั้น
- มีข้อมูลทางการแพทย์และงานวิจัยทางวิชาการได้ยืนยันถึงคุณประโยชน์ของการอดอาหารและช่วงเวลาที่บุคคลจะมีความเคยชินในการปฏิบัติจนเป็นนิสัย การถือศีลอดในเดือนรอมาฎอนจึงเป็นกิจกรรมที่มีส่วนสำคัญต่อการสร้างสุขภาพพลานามัยและนิสัยที่ดีของผู้ถือศีลอดอย่างไม่ต้องสงสัย
(เก็บความจาก ฟิกฮุซ-ซิยาม;ดร. ยูซุฟ อัลกอรฏอวีย์ หน้า 11-15)
คุณค่าและประโยชน์ของการประกอบพิธีฮัจญ์
การประกอบพิธีฮัจญ์สำหรับผู้ที่มีความสามารถและมีคุณสมบัติครบถ้วนตามศาสนบัญญัติถือเป็นภารกิจจำเป็น (ฟัรฎู) ด้วยมติเห็นพ้องของประชาชาติมุสลิมและถือเป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลัก 5 ประการของศาสนาอิสลาม ผู้ใดปฏิเสธความเป็นภารกิจจำเป็นของการประกอบพิธีฮัจญ์ผู้นั้นตกจากศาสนาอิสลาม (มุรตัด) ทั้งนี้เนื่องจากผู้นั้นได้ปฏิเสธสิ่งที่ได้รับการยืนยันเอาไว้อย่างเด็ดขาดในคัมภีร์อัลกุรฺอาน, อัสสุนนะฮฺและอิจญ์มาอฺ (อัลฟิกฮุลมันฮะญีย์ เล่มที่ 2 หน้า 115)
คุณค่าและประโยชน์ของการประกอบพิธีฮัจญ์นั้นมีมากมาย ส่วนหนึ่งจากสิ่งดังกล่าว คือ
- ในทุกขั้นตอนของการประกอบพิธีฮัจญ์นับแต่เริ่มต้นจวบจนเสร็จสิ้นล้วนแต่มีการแสดงออกถึงความเป็นบ่าวผู้นอบน้อมและเป็นการให้เอกภาพต่อพระองค์อัลลอฮฺ (سبحا نه وتعالي) ในการเคารพสักการะ (อิบาดะฮฺ) เพียงพระองค์เดียว
- การเดินทางสู่บัยติลลาฮฺ อัลหะรอมและการประกอบพิธีกรรมตามที่ศาสนาบัญญัติเอาไว้ในพิธีฮัจญ์เป็นสิ่งที่มีรูปลักษณ์ในเชิงปริศนาธรรมสำหรับโลกหน้าและชีวิตหลังความตาย ซึ่งรูปลักษณ์ดังกล่าวมีเป้าหมายให้ผู้ประกอบพิธีฮัจญ์ได้รำลึกถึงบั้นปลายของชีวิต การห่างไกลจากความเพลิดเพลินในชีวิตที่สุขสบาย และเตรียมพร้อมสำหรับชีวิตอันเป็นนิรันดร์ในโลกหน้า
- ในการเดินทางของผู้ประกอบพิธีฮัจญ์สู่นครมักกะฮฺเป็นการเปิดโลกทัศน์และความคิดให้กว้างไกลและเป็นการฝึกให้มีความอดทนอดกลั้นต่อความลำบากในการดำเนินชีวิตและการฟันฝ่าอุปสรรคนานัปการ
- การประกอบพิธีฮัจญ์ถือเป็นโอกาสสำคัญที่บรรดามุสลิมทั่วโลกจะได้มาพบปะและมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันโดยไม่มีการแบ่งแยกชาติพันธุ์, สีผิวและภาษา ตลอดจนเป็นการร่วมชุมนุมของมนุษยชาติที่เป็นประชาชาติเดียวกันซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเป็นสากลของหลักคำสอนแห่งอิสลามที่มีความเป็นภราดรภาพและความเสมอภาคอย่างเป็นรูปธรรม
(เก็บความจากกิตาบอัล-อิฎออฺ ฟี มะนาซิกิลฮัจญ์ วัลอุมเราะฮฺ ; อิหม่ามอันนะวาวีย์ หน้า 30-39)
แหล่งที่มา http://alisuasaming.org/
Islamic Society Online
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น