product :

วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2561

เรื่องราวของสองอารยธรรม : อารยธรรมของชาวไวกิ้งและมุสลิม

เรื่องราวของสองอารยธรรม : อารยธรรมของชาวไวกิ้งและมุสลิม

โดย : Cem Nizamoglu และ Sairah Yassir-Deane

ย้อนหลังไปถึงมีนาคม 2015 ข่าวเกี่ยวกับการค้นพบแหวนในหญิงชาวไวกิ้งในสุสานโบราณซึ่งมีคำจารึกว่า 'For / To Allah' ปะทุขึ้นในสื่อกระแสหลัก ความฉงงสนเท่ห์ที่รายล้อมเข้ามา ว่าวัฒนธรรมที่แตกต่างกันอย่างมากมายเหล่านี้มาพบเจอกันอย่างไร ได้กลายเป็นเรื่องที่ดึงดูดความสนใจ ว่ามีกลอุบายอะไรกันแน่ถึงเป็นอย่างนั้น

บางคนตั้งชื่อว่า "แหวนลึกลับ" บางคำถามเกี่ยวกับการวิพากษ์วิจารณ์และอภิปรายอย่างตื่นเต้น และสร้างทฤษฎีขึ้นมาว่า เป็นไปได้อย่างไร หรือทำไม แหวนวงนี้ถึงมาอยู่ที่สวีเดน อย่างไรก็ตามควรสังเกตว่านี่ไม่ใช่เพียงการติดต่อระหว่างชาวไวกิ้งกับอารยธรรมของชาวมุสลิมเท่านั้น

บทความนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ความสำคัญกับการถ่ายทอดอารยธรรมระหว่างชาวไวกิ้งกับชาวมุสลิมที่เกี่ยวกับแหวนนี้และอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีจุดมุ่งหมายเพื่อแก้ปัญหาความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการอภิปรายเกี่ยวกับโลกอิสลามในช่วงยุคกลางและความสัมพันธ์ระหว่างอารยธรรมชาวไวกิ้งกับอารยธรรมของชาวมุสลิม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความหลงใหลในประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน


*********************************************

หมายเหตุบรรณาธิการ

บทความนี้ได้รับการแก้ไขเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานเว็บไซต์ของ Muslim Heritage ซึ่งถูกเขียนขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2015 ระหว่างช่วงวิกฤติผู้ลี้ภัย (และได้รับการแก้ไขและขยายออกไปในแง่ของการค้นพบใหม่ในเดือนตุลาคม ปี 2017) ในบรรดาประเทศอื่นๆ ผู้ลี้ภัยต้องการที่หลบภัยในสวีเดน - ประเทศที่พบแหวน บทความดังกล่าวที่เน้นการโต้ตอบระหว่างชาวมุสลิมและยุโรปซึ่งครอบคลุมย้อนหลังไปหลายร้อยปีแล้ว สามารถส่งเสริมให้เกิดการรับรู้ทางวัฒนธรรมและความเคารพระหว่างวัฒนธรรม ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นพวกเขาเน้นว่าการปฏิสัมพันธ์ระหว่างชาวมุสลิมและชาวยุโรปไปไกลเกินกว่าพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับการอพยพหรือผู้อพยพ ข่าวที่เกี่ยวข้องมากกว่าที่มี และสามารถได้รับความสัมพันธ์ในเชิงบวก


*********************************************



1. การติดต่อสัมพันธ์กับอับบาซิด


ตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 ถึง 11 ชาวไวกิ้งโด่งดังไปทั่วโลกและครอบคลุมระยะทางไกล ซึ่งก่อนหน้านี้นักประวัติศาสตร์บางคนถือเป็นความสำเร็จที่ไม่เคยทำมาก่อน


Al-Idrisi เขียนอธิบายถึงฟินแลนด์, 115

การเดินทางของพวกเขาพูดได้ว่า ขยายจากยุโรปตะวันตกไปยังเอเชียกลาง, จากแหล่งข้อมูลนี้บ่งบอกถึงขอบเขตที่พวกไวกิ้งมีการติดต่อกับโลกมุสลิมในช่วงสมัยโบราณ แม้ว่าพวกไวกิ้งไล่ปล้นชิงทรัพย์หลายเมืองในยุโรปตะวันตกและตะวันออก นักประวัติศาสตร์สรุปความว่า มันอยู่ในดินแดนการปกครองของชาวมุสลิม เช่น ผู้ปกครองโดย อับบาซิด ที่ไวกิ้งพบว่า“เป็นศูนย์กลางการค้าในฝันของพวกเขา

อาณาเขตอับบาซิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ใต้อำนาจของ ฮารูน อัร-รอซีด เคยชินกับการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนจากหลากหลายเชื้อชาติและความเชื่อ เห็นได้ชัดจาก นักวิชาการที่ได้รับการยกย่องจากหลากหลายเชื้อชาติ  และพวกเขาได้รับเชิญให้มาแปลตำหรับตำราในสถาบันต่างๆ เช่น บัยตฺ อัล-ฮิกมะฮฺ (บ้านแห่งภูมิปัญญา) หลักฐานการแลกเปลี่ยนระหว่างกษัตริย์ชาร์ลมาญ และ ฮารูน อัร-รอซีด เปิดเผยว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดี แหล่งที่มาบางแห่งเชื่อว่าความสัมพันธ์ระหว่าง ฮารูน อัร-รอซีด และกษัตริย์ชาร์ลมาญ มีความสัมพันธ์ก้าวหน้า เนื่องจาก ฮารูน อัร-รอซีด มีพรสวรรค์ในการเจริญสัมพันธไมตรี โดยการส่งบรรณาการเป็นของขวัญมากมายหลายอย่าง เช่น น้ำหอม พร้อมด้วยนาฬิกาน้ำ เรื่องนี้ดูเหมือนจะตรงกันข้ามกับความสัมพันธ์ของกษัตริย์ชาร์ลมาญกับพวกไวกิ้ง ที่เชื่อกันว่าพวกเขาจะดูถูกเหยียดหยามว่ากล่าว "ร้องไห้อย่างขมขื่น" เมื่อคิดว่า "สิ่งชั่วร้ายที่พวกเขาจะกระทำกับลูกหลาน และผู้ใต้ปกครอง" อย่างไรก็ตาม อับบาซิด อาจใช้โอกาสนี้ในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชาวไวกิ้ง การพัฒนาเกี่ยวพันซึ่งกันและกันระหว่างพ่อค้าวาณิช

ฮารูน อัร-รอซีด ได้ต้อนรับ คณะผู้แทน ที่ส่งมาโดยชาร์ลมาญ ที่ราชสำนักของท่าน

พ่อค้าไวกิ้งยังแสดงให้เห็นถึงระบบการแลกเปลี่ยนสินค้าเพื่อการค้าขายสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ขนสัตว์ น้ำผึ้ง หนัง งาช้าง ปลา และสินค้าอื่นๆ นี่คือสถานที่แลกเปลี่ยนเงินตราและค้าขายในเวลานั้น

"พ่อค้าไวกิ้งได้นำเหรียญเงินอับบาซิด จำนวนมากไปยังสแกนดิเนเวีย มีคนนับพันได้พบในรัสเซียและทะเลบอลติก” รายงานโดย Timothy F. H. Allen, Joseph A. Tainter and Thomas W. Hoekstra ในหนังสือของพวกเขา  "Supply-Side Sustainability"

อันที่จริงการขุดค้นของหลายแห่งในประเทศสแกนดิเนเวียในปัจจุบัน อาจกล่าวได้ว่า เนื่องมาจากการแปลเรื่องราวดังกล่าวของนักเดินทางและนักวิชาการจากประเทศมุสลิม เป็นภาษายุโรป ศาสตราจารย์ Thomas S. Noonan ยังชี้ให้เห็นว่า เงินดิรฮัม (เหรียญของอาหรับ) "ที่ช่วยกระตุ้นยุคไวกิ้ง" ยิ่งไปกว่านั้น ดิรฮัม ได้รับการกล่าวถึงว่า เป็นที่ยอมรับ ใน ไวกิ้งยอร์ค และดับลิน ระหว่างศตวรรษที่ 10 และ 12 ที่มันถูกใช้เป็นสกุลเงินร่วมกัน

Noonan ยังคงระบุต่อไปว่าการแสวงหาเงินดิรฮัมเหล่านี้ ชาวสแกนดิเนเวียอาศัยการผจญภัยครั้งแรกในภาคตะวันออก ในทำนองเดียวกัน ในบันทึกเรื่องราวของ อัล-มัสอูดิ กล่าวไว้ว่า พ่อค้าวาณิชจากโลกมุสลิมกระตือรือล้นที่จะ "มีหมวกและเสื้อโค้ตที่ทำจากจิ้งจอกดำ ซึ่งเป็นหนึ่งในขนสัตว์ที่ราคาแพงที่สุด"

พิพิธภัณฑ์แห่งชาติฟินแลนด์: เหรียญอิสลาม อังกฤษ และเยอรมัน เหรียญล่าสุดนับจากวันที่ 1006-1029


Oleg of Novgorod โดย Viktor Vasnetsov

2. ไวกิ้ง หรือ Rus ?


การเดินทางไปยังชาวสแกนดิเนเวียนผู้แสวงบุญและนักวิชาการจากราชวงศ์มุสลิมต่างๆ ก็คุ้นเคยกับการเดินทางในนามของผู้ปกครองของพวกเขา มันเป็นช่วงการเข้ามาเยือนของพวกเขาเพื่อจัดตั้งศูนย์ซื้อขาย เช่น เคียฟ และโนฟกอรด ซึ้งเป็นส่วนหนึ่งของ“เส้นทางการค้า โวลก้า” ที่ซึ่งพวกเขาเชื่อว่ามีการจดบันทึกครั้งแรกเกี่ยวกับการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับพวกไวกิ้ง หรือ Rus ชื่อที่พวกเขาถูกเรียกในภาษาอาหรับ

ใน "Into the Light" ส่วนที่ 4 ของภาพยนตร์สารคดีเรื่อง "History of the World" ของ Andrew Marr ที่ออกอากาศทางช่อง BBC ได้กล่าวว่าไวกิ้งเป็นที่รู้จักในฐานะชาวรัสเซียเมื่อ Oleg เป็นเจ้าชายชาวสแกนดิเนเวียน และผู้นำของ Rus เป็นหัวหน้าของการเดินทางของพวกไวกิ้งไปยังดินแดนที่เรียกว่า รัสเซีย ในปัจจุบัน


3. พ่อค้านักรบ


นักประวัติศาสตร์จากโลกมุสลิมที่อยู่ในกรุงแบกแดด ในหมู่กาซาร์ และดินแดนอื่นๆ ได้ให้สมญานามไวกิ้ง จนเป็นที่รู้จักกัน คือ “พ่อค้านักรบ ผู้มีเป้าหมายหลักคือธุรกิจการค้า” อย่างไรก็ตามนักประวัติศาสตร์ใน อัล-อันดาลุส ต่างมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันเนื่องจากมีการโจมตีบ่อยครั้งโดยชาวไวกิ้ง

เรื่องราวหนึ่ง ในบทความของ Omar Mubaidin เรื่อง "ระยะเวลาเบื้องต้นของการติดต่อระหว่างโลกของอิสลามและยุโรปตะวันตก : ศตวรรษที่ 7- 20 สรุปไว้ว่า:

"กองเรือรบของไวกิ้งออกปล้นชิงทรัพย์ ที่ลิสบอน เซวิลล์ กาดิซ และอัลเจซิรัส ในเอมิเรตแห่งคอร์โดวาและอาซิละฮฺ ในโมร็อกโค ในการแก้แค้น กองกำลังของจักรพรรดิได้จับเรือไวกิ้งที่แม่น้ำกวอดอัลกีเวีย และได้ทำลายเรือ 30 ลำและสังหารชาวไวกิ้ง 1,000 คน ส่วนใหญ่ของชาวไวกิ้ง 400 คนที่ถูกจับ จะถูกประหารชีวิต ชาวไวกิ้งจะทำการโจมตีคนจำนวนมากทั้งกับชาวมุสลิมและรัฐคริสเตียนในคาบสมุทรไอบีเรีย ในที่สุดชุมชนของชาวไวกิ้งได้เปลี่ยนมารับศาสนาอิสลามในเซบียาตะวันออกเฉียงใต้ ได้มีชื่อเสียงในการจัดหาชีสไป โคโดบา และเซบียา"

เมื่อมีข่าวการชิงทรัพย์ ที่เนคเคอร์, หมู่เกาะบาลีเอริค, พัมโพลน่า และลิสบอน ผู้สังเกตการณ์ชาวมุสลิมรายหนึ่งกล่าวว่า "อัล - มายัส - พระเจ้าจะสาปแช่งพวกเขา! - พวกเขารุกรานรัฐโมร็อกโกน้อยของนาคูร และปล้นสะดม พวกเขาได้จับคนทั้งหมดไปเป็นเชลย ยกเว้นผู้ที่ช่วยเขาต่อสู้” 

นอกจากคำสั่งข้างต้นแล้ว John M. Riddle ยังเขียนว่า:

"... อัลฟองโซ, ฉัน (r. 739-757) ได้จัดให้มีการป้องกันที่เข้มแข็งและเด็ดขาดกับชาวไวกิ้ง และชาวออสเตรียก็หันไปหาพวกไวกิ้งเช่นเดียวกับที่พวกเขาเคยหยุดชาวมุสลิม ในการตอบโต้พวกไวกิ้งที่บุกเข้าไปในเขตปกครองของชาวมุสลิมที่เมืองลิสบอน และแล่นเรือไปรอบ ๆ คาบสมุทร และขึ้นแม่น้ำ กัวดัลควิวีล เพื่อล้อมเมืองเซบียา หลังจากที่ลอยเคว้งคว้างจากการบุกโจมตีครั้งแรก พวกมุสลิมภายใต้ การนำของ อับดฺ อัร-เราะฮฺมาน ที่ 2 (r 822-852) เรียนรู้ที่จะรับมือโดยการต่อสู้หยุดยั้งพวกเขา ขณะที่พวกไวกิ้งเดินทางกลับไปที่เรือของพวกเขา กับของที่ปล้นสะดมมาและนักโทษที่จะขายเป็นทาส โอกาสในการซุ่มโจมตีเพิ่มขึ้น เรือมุสลิมติดกับเรือพวกไวกิ้ง ที่ท่าเรือแม่น้ำ และเรียนรู้การใช้ยุทธวิธีหนึ่งในรูปแบบของกรีก คือการใช้ไฟเพื่อเผาเรือ ขัดขวางพวกมุสลิมในสเปน ชาวไวกิ้งบุกเข้าไปในชายฝั่งทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกาซึ่งพวกเขากลมกลืนกับสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า "ผู้ชายสีฟ้า "และ" คนผิวดำ "และขายพวกเขาในฐานะทาสในไอร์แลนด์และที่อื่น ๆ ในการแสวงหาทาสและความมั่งคั่ง ชาวไวกิ้งบางคน (เช่น Halfdan) ได้เดินทางมายังอิตาลีขณะที่พวกเขาพยายามจะหากรุงโรม เมืองอันเป็นนิรันดร์ "

มุสลิม (ซาลาเซ็น), มักยาร และไวกิ้ง กับการรุกรานยุโรปในช่วงศตวรรษที่ 10

แม้ว่าพวกเขาอาจไม่ได้รับการยกย่องอย่างสูงในความเห็นของผู้คนในอัล - อันดาลุส ก็ตาม การโจมตีของพวกเขาแสดงให้เห็นถึงกำลังทหารและกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพของพวกเขา นักโบราณคดี Bjørn Myhre ได้กล่าวว่า "พวกเขาไม่ใช่พวกป่าเถื่อน พวกเขารู้แน่ชัดถึงความกดดันทางทหารและลัทธิที่พวกเขาต่อต้าน

ควบคู่ไปกับการล่มสลายของรัฐสามานิด "จากความอ่อนล้าของการขุดเหมืองแร่เงิน" ผลพ่วงจากค่าของแร่เงินที่ตกต่ำลง เช่นเดียวกับการที่พวกเขาได้พ่ายแพ้ในปี ค.ศ. 971 โดยเคานต์แห่งอารากอน, กอนซาโล่ ซานเชส, ยุคของสลัดไวกิ้งได้มาถึงจุดสิ้นสุด ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

จักรพพรดิแห่งโคโดบา และเหล่าขุนนางของเขาตามต้นฉบับในศตวรรษที่ 16 "จักรพรรดิแห่งโคโดบา อับดฺ อัร-เราะฮฺมาน ที่ 2 ได้ต่อสู้ขับไลพวกไวกิ้งออกไปจากเซบียา และได้เสริมกำลังความแข็งแกร่งเพื่อปกป้องเมืองจากผู้รุกราน มีร่องรอยที่พวกไวกิ้งได้บุกโจมตีแขกมัวร์ในสเปน เหลืออยู่เพียงเล็กน้อย" (ที่มา : "The Viking Age" โดย Robert Ferguson)

น่าสังเกตว่าไวกิ้งยังเป็นทหารรับจ้างที่ต่อสู้เพื่อประเทศต่างๆ ตัวอย่างเช่น มีอักษรรูนจารึกอยู่ 2 ที่ ในสุเหร่าอายาโซเฟียในอิสตันบูล (คอนสแตนติโนเบิ้ล) ย้อนหลังไปถึงศตวรรษที่ 19 ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นของชาวไวกิ้งที่ชื่อ ฮาลฟดัน, แม้ว่าบางคนจะเชื่อว่า เขาเป็นผู้ที่ถูกจัดให้มาเป็นแขกบ้านแขกเมือง แต่ส่วนใหญ่เชื่อว่าเขาเป็นนักล่าสมบัติ “นานก่อนที่ วาเรนเจียน การ์ด จะมี สุดยอดหน่วยรบไวกิ้งของกองทัพไบแซนติน

ถ้าชาวไวกิ้งได้ออกเดินทางไปไกลทางทิศตะวันออก พวกเขาอาจได้รับการว่าจ้างโดยกองทัพมุสลิมด้วย โดยเฉพาะ อันดาลุเชียน หรือมุสลิมจากภูมิภาคคอเคซัส ในปี ค. ศ.1041 การเดินทางของชาวไวกิ้งซึ่งนำโดย Ingvar the Widefarer ไปยังคอเคซัสเพื่อต่อสู้กับประเทศมุสลิม ซึ่งส่งผลให้เกิดความพ่ายแพ้อย่างหนัก นักประวัติศาสตร์ อย่างเช่น Jonathan Clements ได้กล่าวว่า "พวกไวกิ้งทิ้งโลกมุสลิมไว้โดดเดี่ยว เลือกที่จะทำหน้าที่เป็นทหารรับจ้างแทนในกองทัพของตน หรือทำการค้าให้มีกำไร เช่น ทาสพวกเขาโจมตีในยุโรปตอนปลาย ตรงเส้นทางการค้า แต่ในตะวันออกกลางพวกเขาเป็นพ่อค้า” อีกครั้งหนึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงและวิวัฒนาการระหว่างชาวไวกิ้งกับชาวมุสลิมในช่วงเวลาหนึ่ง

นอกเหนือจาก อันดาลุเชียน และ อับบาซิด นักประวัติศาสตร์ Jonsson Hraundal เน้นว่าพวกไวกิ้งยังพบกับ "ชาวเติร์ก และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คาซัสและบัลแกเรีย ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจเหนือกว่าในภูมิภาคนี้เมื่อ Rus มาถึง ข้อความส่วนใหญ่แสดงให้เห็นว่าพวกเติร์กมีพลังมากแค่ไหน พวกรุสไม่สามารถที่จะมาแกว่งดาบฟาดฟัดเพื่อยึดครองได้

การค้าในค่ายสลาฟตะวันออกโดย Sergei Ivanov, 1913

4. The One Ring


บางคนอาจสงสัยว่าหญิงชาวไวกิ้งที่มีแหวนอาหรับมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องราวที่พูดถึงนี้อย่างไร ดังที่ระบุไว้ข้างต้นนักโบราณคดีและนักประวัติศาสตร์ได้ใช้เวลาในการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับยุคไวกิ้งบนเกาะสวีเดนเป็นอย่างมาก ผู้หญิงชาวสแกนดิเนเวียนเป็นที่รู้กันจักว่าได้สวมเครื่องประดับหลายชิ้น อิบนุ ฟัดลัน (ปี 877) ได้กล่าวว่า สังเกตเห็น ผู้หญิงชาวรุสจะสวมแหวนทองและเงินที่คอ :

เธอแต่ละคนมี 10,000 ดิรฮัม ซึ่งสามีของเธอให้ไว้ หญิงบางคนมีเป็นจำนวนมาก เครื่องประดับที่มีค่าที่สุดของพวกเขาคือลูกปัดแก้วสีเขียวทำจากดิน ซึ่งพบได้บนเรือ พวกเขาซื้อขายลูกปัดกันด้วยเงินดิรฮัม สำหรับลูกปัด พวกเขาร้อยมันด้วยเชือกเป็นสร้อยคอ ... "


เงิน 10,000 ดิรฮัม จากคริสตศตวรรษที่ 7- 9 ที่พบใน ปี ค.ศ. 820 - พิพิธภัณฑ์บอร์ด

เมื่อเร็ว ๆ นี้ในงานวิจัยที่ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2015 นักโบราณคดีพบว่าการขุดพบศพผู้หญิงคนหนึ่งที่ฝังอยู่ในศตวรรษที่ 9 มีแหวนเงินเสริมด้วยหินสีม่วง มีข้อสังเกตว่าตัวแหวนถูกค้นพบในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 แต่เมื่อไม่นานมานี้มีการระบุว่ามีจารึกอักษรภาษาอาหรับไว้

ในขณะที่แหวนอยู่ในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์สวีเดนในสตอกโฮล์ม

ภาพของแหวนจากข่าวออนไลน์

จารึกอยู่บนแหวนถูกเขียนขึ้นเป็นภาษาอาหรับเรียกว่า " Kufic " ซึ่งเป็นรูปแบบเชิงมุมเริ่มแรกของตัวอักษรภาษาอาหรับที่พบส่วนใหญ่ในจารึกตกแต่ง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในศตวรรษที่ 8-10 คำว่า “il-La-La” ซึ่งหมายความว่า "เพื่อ" หรือ "อัลลอฮ์ (พระเจ้า)" แม้ว่าเครื่องแต่งกายของหญิงสาวในหลุมฝังศพนั้นดูเหมือนจะเป็นสแกนดิเนเวียแบบดั้งเดิม แต่ร่างกายที่เสื่อมสลายของเธอ ทำให้นักวิจัยและนักโบราณคดีตรวจสอบความเชื่อและเชื้อชาติของเธอได้ยาก ทำให้มีผู้ตั้งคำถามถามขึ้นว่า - มันเป็นสงครามแย่งชิง? เป็นของที่ระลึก? เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องแต่งกายแบบดั้งเดิมของเธอ? หรือเธอเป็นคนเปลี่ยนมารับศาสนาอิสลาม? เรายังไม่สามารถยืนยันได้

เกี่ยวกับวัสดุของแหวน รายงานการดำเนินการโดย Wiley Periodicals Inc.ใน "การวิเคราะห์และการแปลความหมายของแหวนสำหรับสวมนิ้วมือ ที่เป็นเอกลักษณ์ของภาษาอาหรับ จากเมืองเบอร์ก้า ของยุคไวกิ้ง, สวีเดน" พบว่า "งานนี้ใช้การถ่ายภาพแบบ SEM และการวิเคราะห์แบบ EDS เพื่อป้องกันความเสียหาย และอธิบายองค์ประกอบวัสดุของแหวนภาษาอาหรับ ซึ่งพบใน 9thc สุสานของหญิงในยุคไวกิ้ง (ปี ค.ศ. 793-1066) เป็นศูนย์กลางการค้าของเบอร์ก้า สวีเดน หินก่อนหน้านี้คิดว่าเป็นอเมทิสต์ แต่ปัจจุบันผลปรากฏว่ามันเป็นลูกแก้วสี แหวนได้รับการหล่อด้วยโลหะผสมเกรดสูง (94.5 / 5.5 Ag / Cu) และมีเครื่องหมายบ่งบอกว่ามีการเก็บรักษาไว้อย่างดี จากขั้นตอนการขจัดคราบหินและเส้นแม่พิมพ์ ดังนั้นแหวนจึงไม่ค่อยมีการชำรุดและน่าจะส่งผ่านมาจากช่างเงินถึงหญิงที่ถูกฝังอยู่ที่เบอร์ก้า โดยมีผู้ครอบครองเพียงไม่กี่คนเท่านั้น แหวนจึงอาจเป็นหลักฐานสำคัญสำหรับการมีปฏิสัมพันธ์โดยตรงระหว่างยุคไวกิ้งชองสแกนดิเนเวียกับโลกอิสลาม ... "

ภาพของแหวนจากข่าวออนไลน์

แหวน รวมทั้งการค้นพบดิรฮัม (เหรียญของชาวอาหรับ) และตัวเลขที่นักดาราศาสตร์ชาวมุสลิมพบในนาฬิกาดาราศาสตร์ในวิหารลุนด์ ในบางส่วนของยุโรป ชี้ให้เห็นว่าควรศึกษาค้นคว้าวิจัยเพื่อค้นพบสิ่งประดิษฐ์ที่คล้ายคลึงกันซึ่งหมายถึงการเชื่อมต่อระหว่างอารยธรรมยุโรปและมุสลิม



นาฬิกาดาราศาสตร์ในวิหารลุนด์
นาฬิกาดาราศาสตร์ในวิหารลุนด์
 "ในขณะที่อยู่ในมหาวิหาร ฉันเดินตรงไปยังนาฬิกาดาราศาสตร์ยุคกลาง เพื่อรอตัวเลขที่เคลื่อนที่และเพลงที่มาพร้อมกับความประทับใจเมื่อครบชั่วโมง ระหว่างรอ ฉันสังเกตเห็นรูปแกะสลักสี่รูปที่วางไว้ในแต่ละมุมของส่วนบนสุดของนาฬิกา ส่วนหนึ่งของรูปสวมใส่เสื้อผ้าที่แปลกใหม่ และแม้หนึ่งในนั้นจะสวมผ้าโพกศีรษะ ทันทีนั้นทำให้คิดถึวภาพของนักดาราศาสตร์ชาวอาหรับ นี้เป็นความท้าทายสมมติฐานก่อนหน้านี้ของฉัน ที่มุสลิมโดยทั่วไปจะมองในแง่ลบกับการวาดภาพในสแกนดิเนเวียยุคกลาง อันที่จริงมันดูเหมือนจะชี้ให้เห็นว่ามีความภาคภูมิใจในการมีสิ่งเหล่านี้อยู่ที่นี่ เป็นสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งภายในกำแพงมหาวิหารแห่งนี้ในสแกนดิเนเวียยุคกลาง การค้นพบครั้งนี้เกี่ยวข้องกับงานวิจัยที่ฉันกำลังดำเนินการเกี่ยวกับอิทธิพลและการเผยแพร่ผลงานทางวิทยาศาสตร์ของอาหรับในสแกนดิเนเวียโดยเฉพาะอย่างยิ่งในไอซ์แลนด์ ... " 

                                                                                 Christian Etheridge



ตัวอย่างดังที่กล่าวมาแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์ร่วมกันระหว่างอารยธรรมมุสลิมและไม่ใช่มุสลิมที่ได้สั่งสมมานานหลายศตวรรษ นอกจากนี้การค้นพบเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งที่หลากหลายทางวัฒนธรรมซึ่งตั้งอยู่ในสถานที่ที่ถูกมองข้ามเช่นเดียวกับภาษาที่มองข้าม


บางส่วนของ Duccio's Rucellai Madonna

ตัวอย่างเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเชื่อมต่อระหว่างชาวมุสลิมและยุโรปรวมถึงจารึกภาษาอาหรับและรูปแบบตะวันออกที่พบในผ้าแท่นบูชาเสื้อคลุมของโบสถ์และแม้แต่ผ้าคลุมศพในความครอบครองของคริสเตียน นี่อาจเป็นเพราะคุณภาพของผ้าทอมุสลิมในเวลานั้น ตอนนี้อาจเป็นที่น่าตกใจ อย่างไรก็ตามในบางโอกาส "ผ้าเหล่านี้ถูกตัดแต่งด้วยข้อความภาษาอาหรับจากอัลกุรอาน ซึ่งกล่าวว่า ' ไม่มีพระเจ้าอื่นใด เว้นแต่อัลลอฮฺ และมูฮัมหมัดเป็นผู้เผยพระวจนะของพระองค์' ด้วยภาษาอาหรับ" ภาพวาดนี้ยังขยายไปถึงภาพวาดยุคเรอเนสซองส์ของอิตาลีที่แสดงภาพพระแม่มารี [Mary] ในหนังสือเรื่อง "Bazaar to Piazza" โดย Rosamond E. Mack การอ้างสิทธิ์เหล่านี้ได้รับการค้นคว้าในรายละเอียดที่กว้างขวางและรวมถึงแหล่งข้อมูลรูปภาพหลายแห่ง ตัวอย่างหนึ่งคือ "Pseudo-Arabic ปรากฏขึ้นบนปลอกแขน ของ Duccio's angels และ Giotto's Christ Child"


เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องทราบว่าการค้นพบเหล่านี้ นำมาซ้ึงความสนใจของเราผ่านการลงทุนและส่งเสริมประวัติศาสตร์และการเชื่อมต่อกับยุคใหม่ ไม่เพียง แต่ยุโรป แต่ทั่วโลก และแม้กระทั่งสถานที่ที่ไม่คาดคิด ตัวอย่างเช่น "เหรียญที่ทำจากเงินอาหรับได้พบ [... ] บนเกาะในภาคเหนือของประเทศออสเตรเลีย"  และ "ชาวออสเตรเลียเพียงไม่กี่คนที่ทราบว่าชาวอะบอริจินและเกาะช่องแคบทอร์เรสของประเทศมีการติดต่อกับชาวมุสลิมต่างชาติเป็นเวลานานก่อนที่คริสเตียนจะเข้ามาตั้งรกราก” นอกจากนี้ยังนำไปใช้ในทางตรงกันข้ามด้วยเหมือนกัน โลกมุสลิมดูเหมือนว่าจะมีภาพลักษณ์ที่ไม่ใช่มุสลิมหลายอย่าง เช่น สัญลักษณ์จันทร์เสี้ยว และสถาปัตยกรรมโดมของมัสยิดมาจากอิทธิพลของไบแซนไทน์ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ตัวอักษรละตินอาจพบในมัสยิดเก่าและการประดิษฐ์ตัวอักษรอาหรับอาจมีอยู่ในโบสถ์เก่า เนื่องจากเราขาดความรู้ โลกจึงเต็มไปด้วยความอัศจรรย์

เหรียญเงินของอาหรับในศตวรรษที่ 10 พบได้โดยพี่น้อง Arvid และ Edvin Sandborg ในสวีเดนที่เกาะ กอดแลนด์

5. ชาวมุสลิมไวกิ้ง


นอกเหนือจากการค้นพบแหวนแล้วความจริงเพิ่มเติมเกี่ยวกับหญิงชาวสแกนดิเนเวียนคนนี้ คือการที่เธอถูกฝังมากกว่าถูกเผา นี้แสดงให้เห็นว่าผู้หญิงคนนี้อาจเป็นชาวสแกนดิเนเวียนที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามหลังจากการที่พวกเขามีการติดต่อสัมพันธ์กับชาวมุสลิม หลักฐานนี้อาจเปิดเผยว่าศาสนาอิสลามไม่เพียง แต่เป็นศาสนาที่ได้รับความนิยมในช่วงสมัยโบราณในตะวันออก แต่ก็ยังมีรากลึกในยุโรปเช่นกัน

หลักฐานที่เกี่ยวข้องกับชาวไวกิ้งที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม รวมถึงบันทึกในศตวรรษที่ 16 นักภูมิศาสตร์ชาวมุสลิม Amin Razi (ศตวรรษที่ 16-17, เปอร์เซีย) ซึ่งเป็นรายงานที่ได้ระบุไว้ว่า:


. .. พวกเขา [ชาวไวกิ้ง] เนื้อหมูมีมูลค่าสูง แม้กระทั่งผู้ที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามก็ต้องการเช่นนั้น และชอบเนื้อหมูมาก "


ดังที่ได้กล่าวไว้ในหัวข้อเรื่อง "พ่อค้านักรบ" "ชุมชนของชาวไวกิ้งที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามในเซบียาร์ตะวันออกเฉียงใต้จะมีชื่อเสียงในการจัดหาชีสให้แก่คอร์โดบาและเซบียา"

อย่างไรก็ตามส่วนใหญ่ของชาวไวกิ้ง ยังคงปฏิบัติตามความเชื่อแบบดั้งเดิมของพวกเขา ซึ่ง Simon Franklin และ Jonathan Shepard พูดถึง "การวินิจฉัยโดย ibn Rustah's (ศตวรรษที่ 10, เปอร์เซีย) ตามการอธิบายของเขา, ความเคารพนับถือถูกนำมาใช้กับพวกหมอผี [attibah] ผู้ที่มีอำนาจเหนือผู้ปกครอง 'ราวกับว่าตัวเองเป็นเจ้านาย' และสามารถออกคำสั่งอย่างรวดเร็วให้บูชายัญมนุษย์หรือสัตว์ป่า ซึ่งผู้ปกครองเป็นเพียงหุ่นเชิดเท่านั้น เป็นการนำเสนอโดย ibn Fadlan"


แม้ว่าหลายคนได้เสนอทฤษฎีเกี่ยวกับหญิงไวกิ้งชาวสแกนดิเนเวีย และวงแหวนแล้ว แต่เรื่องราวที่แท้จริงของเรื่องลึกลับนี้ยังไม่ได้รับการเปิดเผย

Andrew Marr ยังให้ความเห็นว่าชาวไวกิ้งในรัสเซียเข้ามาใกล้การเปลี่ยนมานับถืออิสลามมากแค่ไหนและกษัตริย์ของพวกเขาไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าศาสนาใดในโลกจะเหมาะกับพวกเขามากที่สุด:



บอกว่าเขา (Oleg, เจ้าชายไวกิ้งและผู้นำของ Rus) ได้ถามผู้แทนของคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก, คริสต์นิกายกรีกออร์โธดอกซ์, ศาสนายูดาย และศาสนาอิสลาม ที่มาที่นี่และชักชวนเขา "ไปพิจารณาเถอะ, เปลี่ยนมานับถือศาสนาฉัน" นักรบชาวสแกนดิเนเวียนโบราณสนใจในศาสนาอิสลามมาก จนกระทั่งเขาได้ยินว่าจะเกี่ยวข้องกับการเลิกดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เมื่อถึงจุดส่งผลแบบนั้น เขากล่าวว่า  "ตกลงคุณออกไปแล้ว" ในท้ายที่สุดเขาเลือกศาสนาคริสต์นิกายกรีกออร์โธดอกซ์ และเริ่มสร้างโบสถ์หินแห่งแรกในเคียฟ "



6. บทวิจารณ์และข้อสรุป


หากการค้า, ทูตทางการเมือง, สงคราม และการอพยพย้ายถิ่นฐานท่ามกลางปัจจัยอื่น ๆ ได้ถูกนำมาพิจารณาแล้วเราอาจจะยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับการติดต่อเพิ่มเติมระหว่างชาวสแกนดิเนเวียนและโลกมุสลิมเช่นแหวนที่มีอักษรภาษาอาหรับที่หญิงชาวสแกนดิเนเวียน ความตื่นเต้นและความลึกลับที่สร้างขึ้นจากการค้นพบนี้อาจเป็นที่ถกเถียงกันว่าเกิดจากการขาดข้อมูลที่ค้นคว้าหรือประเด็นอื่นๆ ในเรื่องนี้

เหมือนอารยธรรมอื่น ๆ ที่อยู่ในสมัยโบราณ พวกไวกิ้งจะเข้าใจผิด อารยธรรมจากสมัยโบราณไม่จำเป็นต้องตรงกับการเป็น "คนป่าเถื่อน / อนารยชน" หรือโดยการมี "วัฒนธรรมดั้งเดิม" การสังเกตของ Ibn Fadlan พวกไวกิ้งอาจเป็นญาติของชาวเมืองที่ไปเยือนทวีปอื่น และเขียนความคิดเห็นของพวกเขา จะเห็นว่า Ibn Fadlan เป็นทูตหนุ่มที่ได้รับการศึกษาและมีสิทธิพิเศษจากเมืองที่มีขนาดใหญ่และเจริญรุ่งเรืองเช่น กรุงแบกแดด ซึ่งเมืองที่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ "เป็นศูนย์กลางของยุคทอง" ในยุคนั้น อาจกล่าวได้ว่าเป็นการเปรียบเทียบที่ถูกต้อง ยิ่งไปกว่านั้น "Ibn Fadlan น่าจะรังเกียจเนื่องจากแนวคิดเรื่องความสะอาดของโลกมุสลิม ที่ซึ่งประชาชนจะใช้น้ำไหลผ่าน และแต่ละคนจะมีชามของตัวเอง" ไม่ใช่กรณีนี้สำหรับ Ibn Rustah นักภูมิศาสตร์ชาวมุสลิมคนอื่น ตามเขา "เจ้าสำอาง สะอาด และแต่งตัวดี" และเขายกย่องพวกเขาให้ดียิ่งขึ้น:


เขาเก็บเสื้อผ้าของตนให้สะอาดและคนเหล่านั้นประดับประดาด้วยทองคำครุฑ พวกเขาปฏิบัติกับคนรับใช้ของตนได้ดีและแต่งกายอย่างประณีตเพราะเป็นพ่อค้าที่กระตือรือร้นดังกล่าว ... พวกเขาเป็นคนใจกว้างต่อกันและกันให้เกียรติแขกของพวกเขาและปฏิบัติต่อผู้ที่ลี้ภัยกับพวกเขาและทุกคนที่มาเยี่ยมพวกเขา พวกเขาไม่อนุญาตให้ใครรบกวนหรือเป็นอันตรายต่อสิ่งเหล่านี้ และเมื่อใดก็ตามที่ทุกคนกล้าที่จะปฏิบัติกับพวกเขาอย่างไม่เป็นธรรมพวกเขาจะช่วยและปกป้องพวกเขา "

จำได้ว่า Omar Sharif (ด้านซ้าย) ในขณะที่เขาปรากฏตัวในภาพยนตร์ปี 1999 เรื่อง "The 13th Warrior" ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวของชาวอาหรับที่เดินทางมาเยือนในสมัยศตวรรษที่ 10 Ahmed‪ Ibn Fadlan ที่เล่นโดย Antonio Banderas (ด้านขวา) ( ที่มา ) และที่นี่คุณสามารถชมภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายของ Omar Sharif เรื่อง " 1001 สิ่งประดิษฐ์และ World of Ibn Al-Haytham " ซึ่งได้ทุ่มเทให้กับมรดกของเขา

แม้ Ibn Fadlan (b.877) ไม่พอใจกับพฤติกรรมการทำความสะอาดส่วนบุคคลของพวกเขา แต่น่ายกย่องว่าพวกเขาเป็น "ตัวอย่างทางกายภาพที่สมบูรณ์แบบ" และอธิบายว่าเป็น "เป็นวันที่ต้นปาล์มสูง" ซึ่งการเปรียบเทียบนี้อาจเป็นหนึ่งใน คำชมเชยสูงสุดที่ได้รับจากชาวอาหรับในช่วงเวลาดังกล่าว:


. .. ฉันได้เห็นพวก Rus เมื่อพวกเขามาถึงจากการเดินทางของพ่อค้าและตั้งแคมป์โดย Itil ฉันไม่เคยเห็นตัวอย่างทางกายภาพที่สมบูรณ์แบบมากนัก เป็นวันที่ต้นปาล์มสูง สีบลอนด์ และสีแดงเข้ม พวกเขาสวมเครื่องแบบของ tunics หรือ kaftans แต่ผู้ชายสวมเครื่องแต่งกายที่ครอบคลุมด้านใดด้านหนึ่งของร่างกาย และปล่อยมือ แต่ละคนมีขวาน, ดาบ และมีด และช่วยให้ทุกคนอยู่กับเขาตลอดเวลา ผู้หญิงแต่ละคนสวมกลักเหล็กเหล็ก กลักเงิน กลักทองแดง หรือกลักทองคำ บนหน้าอก ค่าของกลักแสดงถึงความมั่งคั่งของสามี แต่ละกลักมีแหวนขึ้นอยู่กับกริช ผู้หญิงสวมสร้อยคอทองคำและเงิน เครื่องประดับที่มีค่าที่สุดของพวกเขาคือลูกปัดแก้วสีเขียว พวกเขาร้อยพวกมันเป็นสร้อยคอสำหรับผู้หญิง ... "


เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องทราบด้วยว่าในทางตรงกันข้ามกับความคิดเห็นที่ระบุว่าไวกิ้งมีการปฏิบัติด้านสุขอนามัยที่ไม่ดี นักประวัติศาสตร์บางคนตั้งข้อสังเกตว่าสิ่งของที่พบมากที่สุดที่พบจากยุคไวกิ้งเกี่ยวข้องกับหวี นอกจากหวีเหล่านี้ยังมีอุปกรณ์ตกแต่งอื่น ๆ เช่นมีดโกน แหนบ และแม้กระทั่งช้อนหู

หวีของชาวไวกิ้ง

หนึ่งในอ่างอาบน้ำของชาวสแกนดิเนเวียน
ซึ่งเป็นอ่างอาบน้ำที่สร้างโดย Snorri Sturluson
ที่ฟาร์มของเขาที่ Reykholt ประมาณปี 1210
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาสังเกตเห็นว่ามีการใช้สบู่ที่มีฤทธิ์เป็นด่างมาก และจากรูปด้านบนแสดงให้เห็นว่า พวกเขามีสิ่งอำนวยความสะดวกในการอาบน้ำ ดังนั้นจึงเป็นการโต้แย้งข้อคิดเห็นที่ว่าการทำความสะอาดส่วนบุคคลของพวกเขาไม่เพียงพอ

นอกจากการมีปฏิสัมพันธ์กับชาวมุสลิมแล้ว ควรสังเกตด้วยว่าพวกไวกิ้งได้มีปฏิสัมพันธ์กับอารยธรรมอื่นๆ อีกมากมาย และได้เรียนรู้ความคิดและวิธีการใหม่ๆ จากมีปฏิสัมพันธ์เหล่านี้ มีความรู้ความเข้าใจว่าตนมีภาษา,  ตัวอักษร,  ศาสนา และตำนานต่างๆ


ผลงานอื่นๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่ sólarsteinn (เข็มทิศ Sunstone) แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของพวกเขาในช่วงเวลานั้น การแกะสลักที่สวยงามซึ่งพบอยู่บนเรือหรือบนชุดเกราะของพวกเขา เช่น หมวก หรือโล่ แสดงถึงความสนใจในศิลปะ - ศิลปะมักถูกพิจารณาว่าเป็นหลักฐานของชุมชนที่ได้มีวัฒนธรรมขั้นสูง

เข็มทิศ Sunstone ทำโดยนักวิจัยที่ University of Rennes ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากเนื้อเรื่องในต้นฉบับของศตวรรษที่ 13 ที่เรียกว่า Saga of St Olaf

งานขั้นสูง จารึกภาษาอาหรับบนเข็มทิศ

ภาพวาดเข็มทิศศตวรรษที่ 13 ที่ใช้โดยลูกเรือจากอารยธรรมมุสลิมในสมัยนั้น

คล้ายกับชาวไวกิ้งผู้คนจากอารยธรรมมุสลิมยังได้ลงทุนในศิลปะวิถีการดำเนินชีวิตและเทคโนโลยี - แม้แต่เข็มทิศที่นักเดินเรือใช้ในช่วงเวลานี้ นอกจากนี้เรื่องราวบางส่วนเกี่ยวกับวิกิพีเดียและอารยธรรมของชาวมุสลิมอาจจะเสียไปจากเรื่องเล่าเรื่องเดียวเนื่องจากขาดความรู้หรือมีการเผยแพร่เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่เป็นทางเลือก ตัวอย่างเช่นเมื่อบางคนอาจคิดถึงสแกนดิเนเวียนพวกเขาอาจไม่เห็นว่าพวกเขาตั้งรกรากอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก ในทำนองเดียวกันชาวมุสลิมยังรับรู้โดยบางคนเป็นที่มาหรืออยู่ในตำแหน่งทางภูมิศาสตร์เดียวเมื่อในความเป็นจริงชาวมุสลิมมีความหลากหลายในความเชื่อและวัฒนธรรมของพวกเขา

ตรงกันข้ามกับแบบแผนผู้คนจะเดินทางจากที่ใกล้และไกลไปศึกษาต่อที่สถาบันในโลกมุสลิมและ ดิรฮัม และ ดีนาร์ เป็นหนึ่งในสกุลเงินที่ทรงพลังที่สุดซึ่งก็ไม่ต่างไปจากเงินยูโรหรือดอลลาร์ที่ได้รับการยกย่องในปัจุบันนี้ นี่เป็นจุดเด่นของการค้นพบเหรียญ King Offa ในพิพิธภัณฑ์ของอังกฤษที่สลักไว้ว่า "ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระเจ้าองค์เดียว พระองค์ทรงไม่มีภาคีใด' และบนขอบด้านนอกของเหรียญ 'มูฮัมหมัดเป็นศาสดาของพระเจ้า พระองค์ส่งเขามาด้วยกับหลักคำาสอนและความศรัทธาที่แท้จริง ที่จะสูงส่งกว่าทุกศาสนา'

รูปแบบของชาวสแกนดิเนเวียนและมุสลิมทำให้บางคนมองว่าเป็น "คนป่าเถื่อน" หรือ "คนที่ล้าหลัง" ดังนั้นเมื่อการค้นพบใหม่ๆ เช่น แหวนอาหรับปรากฏขึ้น อาจทำให้พวกเขาประหลาดใจ การศึกษาเพิ่มเติมจะสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นค้นหาหลักฐานเพิ่มเติมเกี่ยวกับอารยธรรมที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นว่าการค้นพบอันงดงามเหล่านี้ไม่ได้มาจากความว่างเปล่า แต่เป็นการเข้าใจผิดและการขาดความรู้เกี่ยวกับช่วงเวลาต่างๆ ที่ทำให้เราไม่สามารถค้นพบสิ่งประดิษฐ์ที่น่าสนใจอื่นๆ ซึ่งอาจอยู่ในมุมมองที่เรียบง่าย

ประธานของ Foundation for Science, Technology and Civilisation (FSTC) ศาสตราจารย์ Salim T. S. Al-Hassani มักจะเกี่ยวข้องกับรายงานข่าวเช่นนี้ การหลงลืมในจิตใจของผู้คนเกี่ยวกับผลงานนับพันปีที่ทำโดยนักวิชาการจากมุสลิม, จีน, อินเดีย และอารยธรรมอื่นๆ ที่ไม่ใช่ยุโรป ในรูปแบบของการศึกษาประวัติศาสตร์ หนังสือและสื่อกระแสหลัก:



แต่น่าเสียดายที่มีระยะเวลา 1000 ปีที่ขาดหายไปจากระบบการศึกษาตะวันตก เกือบทุกเรื่องที่สอนในโรงเรียนมีการกระโดดจากชาวกรีกไปสู่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ซึ่งมักเรียกกันว่า "ยุคมืด" สิ่งที่สำคัญที่สุดในจิตใจของผู้คนเกี่ยวกับชาวอาหรับในยุคนั้น คือ ตำนานพันหนึ่งทิวาราตรี กับ ซินแบด, อาลีบาบา, อาลาดินกับตะเกียงวิเศษ และพรมบิน .. ฯลฯ

การหลงลืมนี้ส่งผลต่อจิตใจของคนรุ่นปัจจุบันและอนาคต และบิดเบือนทัศนคติและการรับรู้ถึงบทบาทของวัฒนธรรมอื่นๆ ของพวกเขา โดยเฉพาะชาวมุสลิม ในการสร้างอารยธรรมในปัจจุบัน "

ศาสตราจารย์ Salim Al-Hassani ประธานของ FSTC (ทั้งสองรูป) ร่วมกับนาง Tarja Halonen อดีตประธานาธิบดีฟินแลนด์ (ด้านซ้าย) และ Anders Liden อดีตเอกอัครราชทูตสวีเดนประจำสหประชาชาติ (ด้านขวา) , 1001 สิ่งประดิษฐ์: นักวิทยาศาสตร์ที่ประสบความมสำเร็จในอารยธรรมอิสลาม

ในเดือนสิงหาคมปี 2013 “1001 สิ่งประดิษฐ์ : นิทรรศการการค้นพบมรดกมุสลิม” ได้รับการเปิดตัวโดยสมเด็จเจ้าฟ้าชาย Carl Philip แห่งสวีเดน อย่างเป็นทางการใน พิพิธภัณฑ์ Värmlands ในโอกาสนั้น ÅsaHallén ผู้อำนวยการ พิพิธภัณฑ์ Värmlands กล่าวว่า:



1001 สิ่งประดิษฐ์ ให้ความบันเทิง สนุกสนาน และเปิดประสบการณ์การศึกษาสำหรับเด็กๆ และผู้ใหญ่เช่นกัน เป็นการเติมเต็มการเขียนประวัติศาสตร์ตะวันตก และเน้นย้ำถึงขุมทรัพย์อันน่าอัศจรรย์ใจอย่างมากมายของประวัติศาสตร์เชิงวัฒนธรรมและวิทยาศาสตร์ของอารยธรรมมุสลิม มันแสดงให้เราเห็นว่าเรามีส่วนแบ่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมอย่างไรและเป็นประเด็นสำคัญในการพัฒนา: การปิดกว้างในการรับข้อมูล และอิทธิพลจากวัฒนธรรมอื่นๆ "

(จากซ้าย) ÅsaHallén ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ Värmlands, Lena Adelsohn Liljeroth รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมสวีเดน และเจ้าชาย Carl Philip แห่งสวีเ ดนดยุคแห่ง Värmland ย้อนกลับไปใน สิงหาคม ปี ค.ศ. 2013 1001 สิ่งประดิษฐ์ นิทรรศการ การค้นพบมรดกมุสลิม” จัดขึ้นที่พิพิธภัณฑ์ Värmlands ในสวีเดน

บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อเผยแพร่ต่อสาธารณะ พยายามนำเสนอความเชื่อมโยงและหลักฐานบางอย่างเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างชาวไวกิ้งและโลกอิสลาม เพื่อหาข้อสรุปว่าการค้นพบแหวนนี้ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจมากมายนัก ความรู้ทั่วไปที่ได้รับความสำคัญจากการริเริ่มด้านการศึกษาและสื่อกระแสหลัก แม้ว่าจะมีข่าวดีเกี่ยวกับการค้นพบดังกล่าว ความตกใจและความกลัวเรื่องนี้ทำให้เกิดคำถามบางอย่างเกี่ยวกับสาเหตุที่พวกเขาต้องยอมรับเช่นนี้ เพื่อสนับสนุนกรณีนี้เราอยากจะสรุปบทความของเราพร้อมกับหมายเหตุสำคัญของ Dr Anne-Maria Brennan




แหวนถูกพบในคริสต์ศตวรรษที่ 19 และเมื่อเร็วๆ นี้ เพิ่งมีการสังเกตเห็นจารึกภาษาอาหรับปรากฏบนแหวน ทำให้คุณประหลาดใจว่ายังมีสิ่งประดิษฐ์อื่นๆ อีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้เปิดเผย? มีนับพันถ้าไม่รวมต้นฉบับนับล้านที่รอการแปลและศึกษา - มีอัญมณีอะไรบ้าง ข้อมูลอะไรบ้างที่มีค่า ข้อมูลเชิงลึกในด้านประวัติศาสตร์ถูกซ่อนเร้นอยู่กับพวกเขาอย่างไร? ยุโรปได้เต็มไปด้วยกับความเชื่อมต่อกับวัฒนธรรมอิสลาม แต่หลายคนยังเห็นทั้งสองเป็นโลกที่แตกต่างกัน ลองพิจารณาดู และเราจะเห็นปราสาท น้ำพุ หนังสือ เครื่องเคลือบ สิ่งประดิษฐ์ เครื่องมือ และสิ่งอื่นๆ อีกมากมายทั่วยุโรป - เป็นสิ่งบ่งบอกถึงควมสวยงามทั้งหมดในยุคทองของอิสลาม การมีอยู่ของวงแหวนนี้แสดงให้เห็นว่าอารยธรรมอิสลามอันอุดมสมบูรณ์นั้นเป็นอย่างไร - ในเวลาเดียวกันการค้าและการศึกษาเป็นสิ่งที่ผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกเดินทางไปสู่อารยธรรมอิสลาม ดิรฮัม เป็นสกุลเงินที่แข็งแกร่งที่สุด..."


จิตรกรชาวโปแลนด์ Henryk Siemiradzki วาดพิธีศพของชาวไวกิ้งซึ่งในตอนนี้เป็นรัสเซียตามคำอธิบายโดย Ahmad Ibn Fadlan การวิเคราะห์ใหม่แสดงให้เห็นว่าตำราของชาวอาหรับและคนอื่นๆ ของเขาเป็นแหล่งความรู้ทางวัฒนธรรมที่ดีเยี่ยมเกี่ยวกับชาวไวกิ้งที่มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก


7. ข่าวที่เกี่ยวข้อง




  • Alyazeera.com - ศิลปวัตถุของไวกิ้ง : บนแหวนและคำอธิษฐาน "
  • ancient-origins.net - ได้ค้นพบแหวนในสุสานยุคไวกิ้ง มีจารึกภาษาอาหรับ
  • Archaeology.org - จารึกบนแหวนชี้ให้เห็นชาวไวกิ้งติดต่ออิสลาม
  • Archaeology.org -แหวนวงหนึ่งเชื่อมโยงผูกพันธ์พวกเขา
  • CNN.com - แหวนของอิสลามในสุสานของชาวไวกิ้ง ทำให้เกิดแสงสว่างใหม่เกี่ยวกับความสัมพันธ์โบราณ
  • DailyMail.co.uk - แหวนลึกลับเผยให้เห็นถึงการเข้าถึงของชาวไวกิ้ง : หินสีม่วงที่พบในหลุมฝังศพในศตวรรษที่ 9 ถูกจารึกไว้ว่า 'for Allah' แสดงให้เห็นว่านักรบทำการซื้อขายกับอารยธรรมอิสลาม
  • Discovery.com - 'For Allah' จารึกที่พบบนแหวนยุคไวกิ้ง
  • History.com - แหวนของอิสลามที่พบในสุสานของชาวไวกิ้ง ใน ศตวรรษที่ 9
  • HurriyetDailyNews.com - จารึกของอิสลามยืนยันความความเชื่อมโยงกับชาวไวกิ้งโบราณ
  • Independent.co.uk - แหวนแกะสลักที่พบในสวีเดนแสดงให้เห็นถึงการติดต่อระหว่าง ยุคไวกิ้งในสแกนดิเนเวียนและอารยธรรมอิสลาม
  • MidEasti.blogspot.co.uk - แหวนที่มีจารึกภาษาอาหรับจากยุคไวกิ้ง
  • MiddleEastEye.net -ไวกิ้งและอับบาซิด : โลกที่แตกต่าง แต่เชื่อมต่อกัน
  • TheNational.ae - เมื่อชาวอาหรับพบพวกไวกิ้ง : การค้นพบใหม่ที่ชี้ให้เห็นถึงการเชื่อมโยงกับยุคโบราณ
  • ScienceNews.org - แหวนนำไวกิ้งโบราณหลอมรวมเข้าด้วยกันกับอารยธรรมอิสลาม
  • ScienceNordic.com - แหวนโบราณนำไวกิ้งและหลอมรวมเข้าด้วยกันกับอารยธรรมอิสลาม
    TechTimes.com - แหวนไวกิ้งถูกขุดพบในสวีเดนด้วยกับการจารึกของชาวอิสลามอันน่าพิศวง
    Tribune.com.pk - ศตวรรษที่ 9 หญิงชาวไวกิ้งได้ถูกค้นพบพร้อมแหวนที่กล่าวว่า 'for Allah'
    WashingtonPost.com - เหตุใดในศตวรรษที่ 9 หญิงชาวไวกิ้งจึงถูกฝังอยู่กับแหวนที่กล่าวว่า ‘for Allah’?
  • WorldBulletin.net - แหวนกับข้อความจารึก " For Allah" ที่พบในสุสานชาวไวกิ้ง
  • และอื่น ๆ อีกมากมาย >>>

ภาพประกอบการเดินทางนำโดย Ibn Fadhlan ไปยังยุโรปเหนือในพิพิธภัณฑ์รัสเซียแห่งหนึ่งใน Norod, Russia




เงินยูโรอาจดึงคนไปยุโรปในวันนี้ แต่ เงินดิรฮัม อันยิ่งใหญ่ดึงชาวยุโรปไปยังตะวันออกกลางเป็นพันปีที่ผ่านมา ... "

Khaled Diab

แปลและเรียบเรียงโดย : มูฮัมหมัด อาดัม อิบนุ อามีน

แหล่งที่มา : http://www.muslimheritage.com/
                  https://muslimheritage.com/vikings/

#อารยธรรมอิสลาม_Islamic_Society_Online
#ประวัติศาสตร์อิสลาม_Islamic_Society_Online
#ประชาชาติอิสลาม_Islamic_Society_Online
#เรื่องเล่าคติเตือนใจ_Islamic_Society_Online
#NEWS_Islamic_Society_Online
Islamic Society Online







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความแนะนำ

World Clock

Featured Posts

เรื่องราวของสองอารยธรรม : อารยธรรมของชาวไวกิ้งและมุสลิม

เรื่องราวของสองอารยธรรม : อารยธรรมของชาวไวกิ้งและมุสลิม โดย : Cem Nizamoglu และ Sairah Yassir-Deane ย้อนหลังไปถึงมีนาคม 2015 ข่าวเกี่ยวก...