product :

วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2561

ชีวประวัติท่านนบีนุฮฺ

ชีวประวัติท่านนบีนุฮฺ


ท่านศาสดานุฮฺ อะลัยฮิสสลาม

กุรอานกล่าวถึงท่านศาสดานุฮ์ (อ.) ถึง 43 ครั้ง ด้วยกัน เรื่องราวของท่านศาสดานุฮ์ (อ.) ถูกกล่าวไว้พอสังเขปในซูเราะฮฺ อะอฺรอฟ, ชุอะรออฺ, เกาะมัร แต่ถูกกล่าวไว้ในซูเราะฮฺ นุฮฺ และฮูด อย่างละเอียด


ท่านศาสดานุฮฺ (อ.) มีคุณลักษณะโดดเด่นมากที่สุดท่านหนึ่งในหมู่บรรดาศาสดาทั้งหลาย ความโดดเด่นอันนี้มีผลมาจากสิ่งดังกล่าวต่อไปนี้

1- ได้รับตำแหน่งศาสดา “อูลุลอัซมฺ” เป็นท่านแรก ท่านศาสดานุฮฺ (อ.) ถือเป็นบรรพบุรุษของบรรดาศาสดาที่มีเชื้อสายต่อจากท่านศาสดาอาดัม (อ.)  เป็นศาสดาท่านแรกที่ได้รับตำแหน่ง อูลุลอัซมฺ ซึ่งได้รับบทบัญญัติจากอัลลอฮฺ และมีหน้าที่เผยแผ่บทบัญญัติที่ได้รับมาแก่มนุษยชาติทั้งหลาย

หนึ่ง ในคุณลักษณะพิเศษของท่านศาสดานุฮฺ (อ.) คือ เป็นศาสดาท่านแรกที่ได้รับตำแหน่งอูลลุอัซมฺ โดย ได้รับหน้าที่เผยแพร่บทบัญญัติที่ประทานจากพระเจ้าให้โดยเฉพาะ ชื่อของท่านถูกกล่าวไว้ในกุรอานโดยถูกกล่าวไว้ในกลุ่มเดียวกับ ศาสดาอิบรอฮีม, ศาสดามูซา, ศาสดาอีซา อย่างเช่นในซูเราะฮฺ ชูรอ โองการที่ 13 กล่าวว่า :

พระองค์ได้ทรงกำหนดศาสนาแก่พวกเจ้าเช่นเดียวกับที่พระองค์ได้ทรงบัญชาแก่นุฮฺ และที่เราได้วะฮีย์แก่เจ้าก็เช่นเดียวกับที่เราได้บัญชาแก่อิบรอฮิม และมูซา และอีซาว่า พวกเจ้าจงดำรงศาสนาไว้ให้คงมั่น และอย่าแตกแยกกันในเรื่องศาสนา แต่เป็นเรื่องใหญ่แก่พวกตั้งภาคีที่เจ้าเรียกร้อง เชิญชวนพวกเขาไปสู่ศาสนานั้น อัลลอฮฺทรงเลือกสำหรับพระองค์ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และทรงชี้แนะทางสู่พระองค์ผู้ที่ผินหน้าสู่พระองค์

และในซูเราะฮฺ อะหฺซาบ โองการที่ 7 กล่าวว่า

และจงรำลึกถึงขณะที่เราได้เอาคำมั่นสัญญาของพวกเขาจากบรรดานบีและจากเจ้า และจากนุฮฺ และอิบรอฮีม และมูซา และอีซาบุตรของมัรยัม และเราได้เอาคำมั่นสัญญาอย่างหนักแน่นจากพวกเขา

2- บิดาคนที่สองแห่งมนุษยชาติ
อีก หนึ่งคุณสมบัติที่ท่านศาสดานุฮฺ (อ.) มีเหนือศาสดาท่านอื่นคือ เผ่าพันธ์มนุษย์สืบเชื้อสายมาจากท่าน เพราะหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมโลก ซึ่งไม่มีใครรอดชีวิตจากเหตุการณ์นี้เลยนอกจาก ท่านศาสดานุฮฺ (อ.) เอง, ลูกของท่านและสาวกผู้ซื่อสัตย์บางคนเท่านั้น กุรอานกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ในซูเราะฮฺ ซอฟฟาต โองการที่ 76 - 82 ว่า :

และเราได้ช่วยเขาและชุมชนของเขาให้พ้นจากทุกข์ภัยอันมหันต์ และเราได้ให้ลูกหลานของเขายังคงมีชีวิตเหลืออยู่ และเราได้ปล่อยทิ้งไว้ (เกียรติคุณ) แก่เขาในกลุ่มชนรุ่นหลังๆ ความศานติจงมีแด่นุฮฺ ในหมู่ประชาชาติทั้งหลาย แท้จริง เช่นนั้นแหละเราจะตอบแทนผู้กระทำความดีทั้งหลายแท้จริง เขา (นุฮฺ) อยู่ในปวงบ่าวของเราผู้ศรัทธา แล้วเราได้ให้พวกอื่นจมน้ำตาย

และกล่าวไว้ในซูเราะฮฺ ฮูด โองการที่ 40 ว่า

จนกระทั่งเมื่อคำบัญชาของเราได้มา และบนพื้นแผ่นดินน้ำได้พวยพุ่งขึ้น เรากล่าวว่า ”จงบรรทุกไว้ในเรือจากทุกชนิดเป็นคู่ๆ และครอบครัวของเจ้าด้วย เว้นแต่ผู้ที่พระดำรัสได้กำหนดแก่เขาไว้ก่อน และผู้ศรัทธาแต่ไม่มีผู้ศรัทธาร่วมกับเขานอกจากจำนวนเล็กน้อย

การรอดชีวิตของเหล่าสาวกผู้ซื่อสัตย์ เป็นผลมาจากความจำเริญและความเมตตาที่อัลลอฮ์ (ซ.บ.) มอบให้แก่ท่านศาสดานุฮฺ (อ.) จากตรงนี้เองจึงถือได้ว่าท่านศาสดานุฮฺ (อ.) คือบิดาท่านที่สองของมนุษยชาติต่อจากท่านศาสดาอาดัม (อ.)

3- มีอายุในการเผยแพร่ศาสนายาวนานที่สุด
อีก คุณสมบัติหนึ่งของท่านศาสดานูฮฺ (อ.) ที่ถูกกล่าวถึงในกุรอานก็คือท่านมีอายุไขที่ยาวนานที่สุด ซึ่งเกี่ยวกับประเด็นนี้ถูกกล่าวไว้ในซูเราะฮฺ อันกะบูตว่า “และโดยแน่นอนเราได้ส่งนุฮฺไปยังหมู่ชนของเขา และเขาได้อยู่ร่วมกับพวกเขาหนึ่งพันปีเว้นห้าสิบปี (950 ปี)

คำ ว่าหนึ่งพันปี ยกเว็นห้าสิบปีที่มาใช้แทนคำว่า เก้าร้อยห้าสิบปีนั้นเป็นการเน้นย้ำถึงการมีอายุที่ยืนยาวนานและมีช่วงเวลา การเผยแพร่ที่ยาวนานซึ่งศาสดาท่านอื่นไม่เคยถูกกล่าวถึงในลักษณะเช่นนี้เลย
นักวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในประเด็นเกี่ยวกับอายุของท่านศาสดานูฮฺ (อ.) ตั้งแต่การเกิดจนถึงเหตุการณ์น้ำท่วมโลกนั้น ตามคัมภีร์เตารอต กล่าวว่า อายุของท่านศาสดานูฮฺรวมทั้งหมด 950 ปี หลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมโลก ศาสดานูฮ์ยังมีชีวิตอยู่อีกถึง350 ปีและเสียชีวิตตอนอายุ 950 ปี

แต่หากดูตามความหมายของโองการที่กล่าวข้างต้น 950 ปีนั้นหมายถึงช่วงชีวิตที่ท่านทำหน้าที่เผยแพร่ศาสนาต่างหาก ซึ่งอายุไขของท่านจริงๆ แล้วมากกว่านั้น

คุณสมบัติเฉพาะของกลุ่มชนท่านศาสดานุฮฺ

ในตอนแรกเรากล่าวถึง คุณสมบัติของท่านศาสดานูฮฺ (อ.) ไปแล้ว ในตอนสองนี้เราจะขอกล่าวถึงคุณสมบัติของกลุ่มชนที่ท่านศาสดานูฮฺ (อ.) ได้รับหน้าที่ไปเผยแพร่สัจธรรม กุรอานกล่าวถึงคุณสมบัติของพวกเขาไว้ดังนี้

1- เป็นพวกบูชาเจว็ด หากพิจารณาจากกุรอานและรายงานทางประวัติศาสตร์จะพบว่า ในสมัยของท่านศาสดานูฮฺ (อ.) การบูชารูปปั้นเป็นความเชื่อหลักของชนในสมัยนั้น พวกเขาสร้างรูปจำลองพระเจ้าขึ้นมาและนำสิ่งดังกล่าวมาบูชากราบไหว้พร้อมทั้ง ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากแต่กลับปฏิเสธการเรียกร้องไปสู่การมีพระเจ้าองค์เดียวอย่างสิ้งเชิง

กุรอานกล่าวถึงกลุ่มชนดังกล่าวไว้ในซูเราะฮฺ นุฮฺ โองการที่ 23 ว่า : “และพวกเขาได้กล่าวว่า พวกท่านอย่าได้ทอดทิ้งพระเจ้าทั้งหลายของพวกท่านเป็นอันขาด พวกท่านอย่าได้ทอดทิ้ง วัดด์ และสุวาอ์ และยะฆูษ และยะอู๊ก และนัซร์ เป็นอันขาด

2-เป็นกลุ่มชนที่โง่เขลาและดื้อด้าน
ความโง่เขลาและความดื้อด้านได้ฝั่งรากลึกอยู่ในกลุ่มชนของท่านศาสดานูฮฺ (อ.) จนถึงขนาดที่ว่าพวกเขาไม่ยอมรับตรรกะและการเรียกร้องไปสู่สัจธรรมใดๆ ทั้งสิ้น พวกเขาไม่รับฟังคำเรียกร้องไปสู่ความยุติธรรม และเสรีภาพที่แท้จริงของมนุษย์ เลยแม้แต่น้อย กุรอานกล่าวถึงประเด็นนี้โดยยกคำกล่าวของท่านศาสดานูฮฺ (อ.) ไว้ในซูเราะฮฺ นุฮฺ โองการที่ 7 ว่า : “และแท้จริงทุกครั้งที่ข้าพระองค์เรียกร้องเชิญชวนพวกเขาเพื่อที่พระองค์ท่านจะได้อภัยโทษให้แก่พวกเขา พวกเขาก็เอานิ้วมืออุดรูหูของพวกเขา และเอาเสื้อผ้าของพวกเขาคลุมโปง และพวกเขายังดื้อรั้น และหยิ่งยะโสด้วยความจองหอง

3-สังคมเต็มไปด้วยการกดขี่และความเสื่อมเสีย
สังคมของกลุ่มชนที่ท่านศาสดานูฮฺ (อ.) ใช้ชีวิตอยู่เต็มไปด้วยการกดขี่และความเสื่อมเสียจนถึงขนาดที่ท่านศาสดานูฮฺ (อ.) เองไม่มีความหวังที่จะทำให้พวกเขาศรัทธาในพระ เจ้าอีกต่อไป กุรอานกล่าวถึงประเด็นดังกล่าวจากคำของท่านศาสดานูฮฺ (อ.) ไว้ในซูเราะฮฺ นุฮฺ โองการที่ 26-27 ว่า : “และนุฮฺได้กล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้า ขอพระองค์ทรงอย่าปล่อยให้พวกปฏิเสธศรัทธาหลงเหลืออยู่ในแผ่นดินนี้เลย * เพราะแท้จริง หากพระองค์ทรงปล่อยให้พวกเขาหลงเหลืออยู่ พวกเขาก็จะทำให้ปวงบ่าวของพระองค์หลงผิด และพวกเขานั้นจะให้กำเนิดแต่พวกเลวทราม พวกปฏิเสธศรัทธาเท่านั้น

4-เป็นกลุ่มชนที่หลงใหลในอำนาจและทรัพย์สิน
กลุ่ม ชนของท่านศาสดานูฮฺ (อ.) เป็นกลุ่มชนที่หลงใหลและเชื่อฟังผู้ที่มีอำนาจและคนที่ร่ำรวยเพี่อให้ได้ทรัพย์สินมาครอบครอง พวกเขาใช้เล่ห์และอุบายหลอกลวงกันเองอย่างน่ารังเกียจที่สุด กุรอานกล่าวถึงประเด็นดังกล่าวจากคำของท่านศาสดานูฮฺ (อ.) ไว้ในซูเราะฮฺ นูฮฺ โองการที่ 21-22 ว่า : “นุฮฺได้กล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ แท้จริงพวกเขาได้ฝ่าฝืนข้าพระองค์และเชื่อฟังผู้ที่ทรัพย์สินและลูกหลานของเขามิได้เพิ่มพูนอันใดแก่เขานอกจากการขาดทุน

5- เป็นกลุ่มชนที่มีผู้ศรัทธาอยู่น้อยมาก
ความเสื่อมเสียและการปฏิเสธการมีพระเจ้าองค์เดียว ถึงแม้จะมีให้เห็นทั่วไปใน กลุ่มชนอื่น แต่ในกลุ่มชนของท่านศาสดานูฮฺ (อ.) เป็นสิ่งที่ฝังรากลึกจนยากที่จะแก้ไขได้ จนถึงขนาดที่ว่าท่านศาสดานูฮฺ (อ.) ใช้เวลาถึง 950 ปีในการเผยแพร่สัจธรรมแต่มีเพียง 80 คนเท่านั้น !!! ที่ตอบรับคำเรียกร้องท่านศาสดานูฮฺ (อ.) มีรายงานฮะดิษจากศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) ที่กล่าวเกี่ยวกับประเด็นนี้ว่า : “แท้จริงท่านศาสดานูฮฺ (อ.) ได้เผยแพร่เรียกร้องกลุ่มชนของตัวเองเป็นเวลาถึง 950 ปี” และอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงกล่าวถึงคุณสมบัติของพวกเขาที่มีจำนวนผู้ศรัทธาน้อยมาก และท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) กล่าวว่า : “พวก เขาไม่ได้ศรัทธาต่อนุฮฺเลยนอกจากคนจำนวนน้อยนิดเท่านั้นที่ศรัทธาต่อเขา มีคนปฏิบัติตามฉันตั้งแต่ฉันยังมีอายุน้อยจนกระทั่งฉันแก่ชรา แต่ในขณะที่ไม่มีคนศรัทธาต่อนุฮฺเลยจนกระทั่งเขาชราภาพ” และมีสายรายงานจากท่านอิบนิอับบาสว่า ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) กล่าวว่า : “ท่านศาสดานุฮฺนำสาวกเพียง 80 คนขึ้นเรือไปพร้อมกับท่านด้วย” กุรอานกล่าวถึงประเด็นนี้ไว้ในซูเราะฮฺ ฮูด โองการที่ 25-26 ว่า : “และโดยแน่นอน เราได้ส่งนูฮฺไปยังกลุ่มชนของเขา (โดยกล่าวว่า) “แท้ จริงฉันเป็นผู้ตักเตือนอันแน่ชัดแก่พวกท่านแล้วคือพวกท่านอย่าเคารพภักดีผู้ใดนอกจากอัลลอฮฺ แท้จริงฉันกลัวแทนพวกท่านถึงการลงโทษในวันอันเจ็บปวด

ท่านศาสดานูฮฺ (อ.) ใช้ความพยายามทั้งกลางวันและกลางคืนในการเรียกร้องประชาชนไปสู่ อิสระภาพที่แท้จริง กุรอานกล่าวถึงเรื่องนี้ในซูเราะฮฺ นูฮฺ โองการที่ 5 ว่า : “เขากล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ แท้จริงข้าพระองค์ได้เรียกร้องเชิญชวนหมู่ชนของข้าพระองค์ทั้งกลางคืนและกลางวัน
กุรอานยังกล่าวถึงประเด็นนี้อีกในซูเราะฮฺ นูฮฺ ในโองการที่ 8-9 ว่า : “ครั้น แล้วข้าพระองค์ได้เรียกร้องเชิญชวนพวกเขาอย่างเปิดเผย แล้วข้าพระองค์ก็ได้ประกาศแก่พวกเขาอย่างเปิดเผย อีกทั้งข้าพระองค์ยังได้บอกกล่าวแก่พวกเขาอย่างลับ ๆ อีกด้วย

ท่านศาสดานูฮฺ (อ.) ทำทุกวิถีทางในการนำเสนอสัจธรรมและสร้างความเข้าใจให้กับประชาชน เพื่อนำพวกเขาไปสู่การเคารพภักดีพระเจ้าองค์เดียว ท่านกล่าวถึงคุณลักษณะอันสูงส่งของพระเจ้า กล่าวถึงความโปรดปรานที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่มนุษย์โดยหวังว่าจะโน้มน้าว หัวใจของพวกเขาไปสู่ความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียว กุรอานกล่าวถึงประเด็นนี้ในซูเราะฮฺ นูฮฺ โองการที่ 10-16 ว่า :
ข้าพระองค์ได้กล่าวว่า พวกท่านจงขออภัยโทษต่อพระเจ้าของพวกท่านเถิด เพราะแท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงอภัยโทษอย่างแท้จริง พระองค์จะทรงหลั่งน้ำฝนอย่างมากมายแก่พวกท่าน และพระองค์จะทรงเพิ่มพูนทรัพย์สินและลูกหลานแก่พวกท่านและจะทรงทำให้มีสวนมากหลายแก่พวกท่าน และจะทรงทำให้มีลำน้ำมากหลายแก่พวกท่าน ทำไมพวกท่านจึงไม่สำนึกถึงความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺและโดยแน่นอนพระองค์ทรงสร้างพวกท่านตามลำดับขั้นตอน พวกเจ้าไม่เห็นดอกหรือว่าอัลลอฮฺทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งเจ็ดเป็นชั้นๆ อย่างไร และทรงทำให้ดวงจันทร์ในชั้นฟ้าเหล่านั้นมีแสงสว่าง และทรงทำให้ดวงอาทิตย์มีแสงจ้า

6- หมดหวังในความศรัทธาของกลุ่มชน
ท่านศาสดานูฮฺ (อ.) ไม่เคยได้รับสิ่งใดเป็นการตอบแทนในความพยามอย่างมากมาย เพื่อชี้นำมนุษย์ นอกจากการถูกกลั่นแกล้ง การข่มขู่ และการเป็นศัตรูเท่านั้น กุรอานกล่าวถึงประเด็นนี้ไว้ในซูเราะฮฺ ชุอารออ์ โองการที่ 116 ว่า : “พวกเขากล่าวว่า โอ้นูฮฺ หากท่านไม่หยุดยั้งแน่นอนท่านจะอยู่ในหมู่ผู้ถูกขว้างด้วยก้อนหิน

ความ ดื้อรั้นของกลุ่มชนของท่านศาสดานูฮฺ (อ.) ถึงขนาดที่ว่าบ่าวผู้อดทนอย่างท่านศาสดานูฮฺ (อ.) ต้องร้องขอต่ออัลลอฮฺ ให้ตัวเองรอดพ้นจากความเลวร้ายของกลุ่มชนนี้ กุรอานกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ในซูเราะฮฺ ชุอารออ์ โองการที่117 – 118 ว่า :
เขากล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของฉัน แท้จริงหมู่ชนของฉันปฏิเสธฉัน ดังนั้นขอพระองค์ทรงตัดสินระหว่างฉันกับพวกเขาโดยยุติธรรมเถิด และทรงโปรดช่วยฉัน และบรรดาผู้ศรัทธาที่อยู่ร่วมกับฉันให้รอดพ้นด้วยเถิด

ท่ามกลางความเลวร้ายและการกลั่นแกล้งจากกลุ่มชนของท่านศาสดานูฮฺ (อ.) ท่านมิได้ทอดทิ้งพวกเขาเลย จนกระทั่งมีคำสั่งจากพระผู้เป็นเจ้าให้ท่านสร้างเรือ ช่วงชีวิตที่ถือว่าเป็นช่วงที่ยากลำบากที่สุดของท่านศาสดานูฮฺ (อ.) คือช่วงเวลาในการสร้างเรือ เพราะช่วงนี้เองท่านถูกข่มขู่ ถูกกลั่นแกล้งแม้กระทั่งถูกทรมานอย่างรุนแรงที่สุด กุรอานกล่าวถึงประเด็นนี้ไว้ในซูเราะฮฺ ฮูด โองการที่ 36-37 ว่า :
และได้มีวะฮฺยูแก่นูฮฺว่า “แท้จริงจะไม่มีผู้ใดจากหมู่ชนของเจ้าศรัทธา เว้นแต่ผู้ที่ได้ศรัทธาแล้ว ดังนั้น เจ้าอย่าเศร้าหมองในสิ่งที่พวกเขากระทำ และเจ้าจงสร้างเรือต่อหน้าเราและตามคำบัญชาของเรา และอย่ามาพูดกับข้า ถึงบรรดาผู้อธรรม แท้จริงพวกเขาจะถูกจมน้ำตาย

หลังจากได้รับคำสั่งจากอัลลอฮฺ (ซ.ล.) ให้สร้างเรือ ท่านได้เริ่มสร้างเรืออย่างมุ่งมั่น แต่พื้นที่ที่ท่านศาสดานูฮฺ (อ.) อาศัยอยู่เป็นพื้นที่ที่เป็นทะเลทรายห่างไกลจาก แม่น้ำและทะเล ด้วยเหตุนี้เองการสร้างเรือในสภาพที่อยู่ท่ามกลางทะเลทรายเป็นเรื่องน่าแปลก สำหรับกลุ่มชนของท่านอย่างยิ่ง ทุกครั้งที่พวกเขาเดินผ่านและเห็นท่านศาสดากำลังสร้างเรือ พวกเขาจะเยาะเย้ย และกลั่นแกล้งเป็นประจำ
กุรอานกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไว้ในซูเราะฮฺ ฮูด โองการที่ 38 ว่า : “และเขาได้สร้างเรือ และคราใดที่บุคคลชั้นนำจากหมู่ชนของเขาเดินผ่านเขา (นูฮฺ) พวกเขาก็เยาะเย้ย เขาก็จะกล่าวว่า“หากพวกท่านเยาะเย้ยพวกเรา แท้จริงเราก็จะเยาะเย้ยพวกท่านเช่นเดียวกับที่พวกท่านเยาะเย้ย

จาก อายะฮ์ข้างต้นบ่งชี้ว่า พวกมีอำนาจในกลุ่มชนของท่านศาสดานูฮฺ (อ.) จะคอยกลั่นแกล้งท่านและสาวกของท่านอยู่ตลอดเวลา ใครก็ตามที่ผ่านมาเห็นท่านศาสดานูฮฺ (อ.) จะกล่าวเย้ยหยันท่าน บางคนกล่าวว่า “โอ้นูฮฺ นอกจากเจ้าจะเป็นศาสดาแล้วยังเป็นช่างไม้ด้วยนะ” หรือบางคนกล่าวว่า “สร้างเรือบนบกแบบนี้ เจ้าจะใช้มันเมื่อไหร่กัน

กุรอานกล่าวถึงคำตอบท่านศาสดานูฮฺ (อ.) ที่กล่าวตอบแก่พวกเขาไว้ในซูเราะฮฺ ฮูด โองการที่ 39 ว่า :
แล้วพวกท่านก็จะรู้ว่าผู้ใดที่การลงโทษอันอัปยศจะมายังเขา และการลงโทษยาวนานจะประสบแก่เขา
อย่างไรก็ตามท่านศาสดานูฮฺ (อ.) ได้สร้างเรือตามคำสั่งของอัลลอฮฺ (ซ.ล.) จนเสร็จ หลังจากนี้เองเป็นช่วงเวลาที่ท่านศาสดานูฮฺ (อ.) รอคำสั่งจากอัลลอฮฺ (ซ.ล.) อีกครั้ง เพื่อให้พระองค์ทรงทำให้เกิดพายุและน้ำท่วม เหตุการณ์น้ำท่วมโลกเป็นช่วงสุดท้ายของการรอคอยของท่านศาสดานูฮฺ (อ.) เป็นช่วงเวลาแห่งการพิสูจน์ถึงความอ่อนแอของบรรดาเจว็ดและพวกบูชาเจว็ดทั้งหลายรวมทั้งเป็นการพิสูจน์ถึงความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮ์ (ซ.บ.)

หลังจากที่ท่านศาสดานูฮฺ (อ.) ได้เห็นสัญญานต่างๆ ที่แสดงถึงการเกิดน้ำท่วมโลก ท่านได้รับคำสั่งจากอัลลอฮฺ (ซ.ล.) ให้นำสัตว์ทั้งหลายขึ้นเรือ ท่านศาสดานูฮฺ (อ.) ได้นำสัตว์แต่ละชนิดขึ้นเรือเป็นคู่ๆ พร้อมทั้งบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหมด (ยกเว้นภรรยาและบุตรชายของท่านเอง) โดยก้าวขึ้นเรือด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ และหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังในความเมตตาของพระองค์ กุรอานกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ในซูเราะฮฺ ฮูด โองการที่ 40-41 ว่า - จนกระทั่งเมื่อคำบัญชาของเราได้มาและบนพื้นแผ่นดิน น้ำได้พวยพุ่งขึ้น เรากล่าวว่า “ จงบรรทุกไว้ในเรือจากทุกชนิดเป็นคู่ๆ และครอบครัวของเจ้าด้วย เว้นแต่ผู้ที่พระดำรัสได้กำหนดแก่เขาไว้ก่อนและผู้ศรัทธาแต่ไม่มีผู้ศรัทธาร่วมกับเขานอกจากจำนวนเล็กน้อยและเขากล่าวว่า “พวกท่านจงลงในเรือด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ทั้งในยามแล่นของมันและในยามจอดของมัน แท้จริงพระเจ้าของฉันเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ

หลัง จากที่ท่านศาสดานูฮฺ (อ.) และบรรดาสาวกผู้ศรัทธาขึ้นเรือแล้ว มีคำสั่งจากฟากฟ้าให้ลงโทษกลุ่มชนผู้ปฎิเสธ เมื่อนั้นเองท้องฟ้ามืดครึ้มและเต็มไปด้วยเมฆฝน ฝนเม็ดใหญ่เทลงมาเสมือนกับว่าประตูแห่งท้องฟ้าได้เปิดออก อีกด้านหนึ่งเกิดตาน้ำที่มีน้ำพุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรงไปทั่วผืนแผ่นดิน หลังจากนั้นไม่นานเกิดคลื่นยักษ์ถาโถมเข้าใส่กลุ่มชนผู้ปฏิเสธอย่างรุนแรง จนกระทั่งบรรดาผู้ปฏิเสธต่างหมดหวังที่จะมีชิวิตรอดจากเหตุการณ์ครั้งนี้

กุรอานกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ในซูเราะฮฺ ฮูด โองการที่ 42-43 ว่า - และมันแล่นพาพวกเขาไปท่ามกลางคลื่นลูกเท่าภูเขา และนูฮฺได้ร้องเรียกลูกชายของเขาซึ่งอยู่อย่างโดดเดี่ยว “ โอ้ลูกของฉันเอ๋ย ! จงมาขึ้นเรือกับเราเถิด และเจ้าอย่าอยู่ร่วมกับผู้ปฏิเสธศรัทธาเลย ” เขา(ลูกชาย) กล่าวว่า “ฉัน
จะไปอาศัยภูเขาลูกหนึ่ง มันจะคุ้มครองฉันจากน้ำนี้ได้ ”เขา (นูฮฺ) กล่าวว่า “ ไม่มีผู้ใดคุ้มครอง (เจ้าได้) ในวันนี้ (ให้พ้น) จากพระบัญชาของอัลลอฮฺ เว้นแต่ผู้ที่พระองค์ทรงเมตตา” และคลื่นได้ซัดเข้ามาระหว่างเขาทั้งสอง และเขา (ลูกชาย) ได้อยู่ในหมู่ของผู้จมน้ำตาย หลังจากเหตุการณ์สงบลง เรือของท่านศาสดานูฮฺ (อ.) มาหยุดอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง สัญญาของพระผู้เป็นเจ้าได้เกิดขึ้นแล้ว สัญญาที่พระองค์จะทำให้บรรดาผู้ศรัทธาได้รับชัยชนะและทำลายพวกบูชาเจว็ดทั้งหลาย ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของโลกกำลังจะเกิดขึ้น ทุกสิ่งกำลังถูกตระเตรียมให้ไปสู่การศรัทธาและความบริสุทธิ์ กุรอานกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ในซูเราะฮฺ ฮูด อายะฮ์ที่ 44-48 ว่า “แผ่นดินเอ๋ย! จงกลืนน้ำของเจ้า และฟ้าเอ๋ย ! จงหยุด” และน้ำได้ลดลงและกิจการได้ถูกตัดสิน และมันได้จอดเทียบอยู่ที่ยอดเขา และได้มีเสียงกล่าวว่า “ความหายนะจงประสบแก่หมู่ชนผู้อธรรมเถิด” และนูฮฺได้ร้องเรียนต่อพระเจ้าของเขาโดยกล่าวว่า “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า แท้จริงลูกชายของข้าพระองค์เป็นคนหนึ่งในครอบครัวของข้าพระองค์ และแท้จริงสัญญาของพระองค์นั้นเป็นความจริง และพระองค์เท่านั้นทรงตัดสินเที่ยงธรรมยิ่งในหมู่ผู้ตัดสินพระองค์ทรงตรัสว่า “โอ้นูฮฺ เอ๋ย ! แท้ จริงเขามิได้เป็นคนหนึ่งในครอบครัวของเจ้า แท้จริงการกระทำของเขาไม่ดี ดังนั้นเจ้าอย่าร้องเรียนต่อข้าในสิ่งที่เจ้าไม่มีความรู้ แท้จริงข้าขอเตือนเจ้าที่เจ้าจะอยู่ในหมู่ผู้งมงาย เขากล่าวว่า “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ แท้จริงข้าพระองค์ขอความคุ้มครองต่อพระองค์ท่าน ให้พ้นจากการร้องเรียนต่อพระองค์ท่านในสิ่งที่ข้าพระองค์ไม่มีความรู้ในเรื่องนั้น และหากพระองค์ไม่ทรงอภัยแก่ข้าพระองค์ และไม่ทรงเมตตาข้าพระองค์แล้ว ข้าพระองค์ก็จะอยู่ในหมู่ของผู้ขาดทุน ได้มีเสียงกล่าวว่า โอ้นุฮฺ เอ๋ย ! จงลงไป (จากเรือ) ด้วยความศานติจากเรา และความจำเริญแก่เจ้า และแก่กลุ่มชนที่อยู่กับเจ้า และกลุ่มชนอื่นที่เราจะให้พวกเขาหลงระเริง แล้วการลงโทษอย่างเจ็บปวดจากเราก็จะประสบแก่พวกเขา


แหล่งที่มา : ชีวประวัตินบี 25 ศาสดา


#ประวัติศาสตร์อิสลาม_Islamic_Society_Online
#เรื่องเล่าคติเตือนใจ_Islamic_Society_Online
Islamic Society Online



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความแนะนำ

World Clock

Featured Posts

เรื่องราวของสองอารยธรรม : อารยธรรมของชาวไวกิ้งและมุสลิม

เรื่องราวของสองอารยธรรม : อารยธรรมของชาวไวกิ้งและมุสลิม โดย : Cem Nizamoglu และ Sairah Yassir-Deane ย้อนหลังไปถึงมีนาคม 2015 ข่าวเกี่ยวก...