product :

วันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

การเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่สากล กับเงื่อนงำที่แอบแฝงในประวัติศาสตร์

การเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่สากล กับเงื่อนงำที่แอบแฝงในประวัติศาสตร์

(อาลี เสือสมิง)



ในทุก ๆ ปี พลเมืองโลกทั่วไปจะเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่ในวันที่ 1 มกราคมกันอย่างเอิกเกริก ในคืนสุดท้ายของปีซึ่งเรียกกันว่า “คืนส่งท้ายปีเก่า” จะมีการเตรียมการสำหรับนับถอยหลัง (Countdown) ในช่วงการเปลี่ยนวัน ณ เวลา 0 นาฬิกา (เที่ยงคืน) ซึ่งถือเป็น การขึ้นวันใหม่ตามอย่างสากล

ผู้คนที่ร่วมเฉลิมฉลองในวันขึ้นปีใหม่นั้นต่างก็รู้เพียงว่านั่นคือวันที่ 1 ของปีใหม่ที่ควรจะยินดีและต้อนรับด้วยการเฉลิมฉลอง ทว่าคงไม่มีผู้ใดรับรู้หรือฉุกคิดหรอกว่า ทำไมหนอ พวกฝรั่งตะวันตกจึงกำหนดเอาวันที่ 1 มกราคมของทุกปีเป็นวันเฉลิมฉลองขึ้นปีใหม่ ทั้ง ๆ ที่ผู้นั้นอาจเป็นคนไทยที่ถือเอาช่วงวันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่ตามธรรมเนียมปฏิบัติ หรือผู้นั้นอาจจะเป็นผู้มีเชื้อสายจีน ซึ่งก็มีวันขึ้นปีใหม่ตามคติจีนและมิใช่วันที่ 1 มกราคม แต่อย่างใด

กระนั้นพวกเขาก็ร่วมเฉลิมฉลองในวันที่ 1 มกราคม ตามสากล (หรือตามฝรั่งตะวันตก) ได้อย่างสนิทใจ ที่น่าเศร้าใจก็คือมีชาวมุสลิมเป็นจำนวนมิใช่น้อยที่เข้าร่วมในการเฉลิมฉลองนั้นด้วย ซึ่งนั่นก็ไม่น่าเศร้าใจเท่ากับการที่ชาวมุสลิมเหล่านั้นขาดภูมิความรู้ทางประวัติศาสตร์แห่งประชาชาติของตน จะด้วยเพราะไม่รู้หรือมิได้ฉุกคิดก็ตามทีจึงได้เผลอไผลเห็นดีเห็นงามจนเอาเป็นเหตุแห่งการเฉลิมฉลองร่วมกับเหล่าชนอื่น ทั้ง ๆ ที่ชาวมุสลิมนั้นมีวันรื่นเริงตามหลักการของศาสนาเป็นของตนเองอยู่แล้ว คือวันอีดอีดิลฟิฏริ และช่วงวันอีดิลอัฎฮา ตลอดจนมีปฏิทินทางจันทรคติในการกำหนดวันเดือนปีและมีศักราชเป็นของเฉพาะตนซึ่งเรียกกันว่า ฮิจเราะฮฺศักราช


ต่อคำถามที่ว่า ทำไมหนอ พวกฝรั่งมังค่าจึงกำหนดเอาวันที่ 1 มกราคม ของทุกปีเป็นวันขึ้นปีใหม่ อาจกล่าวได้ว่า เรื่องนี้น่าจะมีเงื่อนงำที่แอบแฝง กล่าวคือ หากย้อนเวลากลับไปในอดีต เมื่อปี คศ.1492 ณ ดินแดนอัลอันดะลุส (Andalucia) ในสเปน ได้เกิดเหตุการณ์ครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ของชาวมุสลิม คือ เหตุการณ์สูญเสียที่มั่นสุดท้ายของชาวมุสลิมในอาณาจักรฆอรนาเฏาะฮฺ (Granada) แก่อาณาจักรคริสเตียนสเปนซึ่งถูกรวบรวมให้เป็นหนึ่งภายหลังการอภิเษกสมรสของเฟอร์ดินานด์ หรือ เฟอร์นานโดที่ 5 แห่งแคว้นอรากอน (Aragon) กับพระนางอิซาเบลล่า แห่งแคว้นกิชตาละฮฺ (Castile)


ในช่วงเวลานั้น อาณาจักรฆอรนาเฏาะฮฺ (Granada) มีกษัตริย์นามว่า อบูอับดิลลาฮฺ มุฮำหมัด อัซซ่อฆีร หรือที่ฝรั่งเรียกว่า อบูอับดิล (Abuabdi, Bodillah) เป็นผู้ปกครอง พวกคริสเตียนสเปนได้ยกทัพเข้าปิดล้อมนครฆอรนาเฏาะฮฺตั้งแต่ปี คศ.1491 การปิดล้อมเป็นไปอย่างหนักและต่อเนื่อง จนกระทั่งอบูอับดิลลาฮฺ ยอมจำนนต่อฝ่าย คริสเตียนสเปนด้วยการยอมทำข้อตกลงกับฝ่ายคริสเตียนในการส่งมอบเมืองเป็นจำนวนถึง 67 ข้อซึ่งนับเป็นสนธิสัญญาที่ยืดยาวที่สุดฉบับหนึ่งในช่วงสิ้นสุดยุคกลางของยุโรป การลงนามในสนธิสัญญาระหว่างสองฝ่ายเสร็จสิ้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 ร่อบีอุลเอาวัล ฮ.ศ.897 ตรงกับวันที่ 2 มกราคม คศ.1492


ซึ่งในวันเดียวกันนั้น กษัตริย์เฟอร์ดินานด์ ที่ 5 กับพระราชินี อิซาเบลล่าก็ได้เสด็จเข้าสู่พระราชวัง อัลฮัมรออฺ (Alhambra) อันเป็นที่ประทับของกษัตริย์ อบูอับดิลลาฮฺ และมีการนำไม้กางเขนเงินขึ้นสู่ยอดโดมของมัสญิดในพระราชวัง กษัตริย์อบูอับดิลลาฮฺได้จุมพิตพระหัตถ์ของกษัตริย์คริสเตียนแห่งสเปนและดำเนินออกจากพระราชวัง กษัตริย์อบูอับดิลลาฮฺได้หยุดทอดพระเนตรนครฆอรนาเฏาะฮฺเป็นครั้งสุดท้าย ณ เนินแห่งหนึ่งที่เรียกกันว่า เนินอัลบันดูล และร่ำไห้พร้อมสะอึกสะอื้น พระนางอาอิชะฮฺผู้เป็นพระมารดาจึงตะโกนบอกกับอบูอับดิลลาฮฺว่า “เจ้าจงร่ำไห้เยี่ยงอิสตรีต่ออำนาจที่สูญสิ้น เจ้าหาได้รักษามันไว้ได้ไม่เยี่ยงเหล่าบุรุษ” ชาวสเปนเรียกขานเนินแห่งนี้ว่า “การสะอื้นร่ำไห้ครั้งสุดท้ายของชาวอาหรับ” (el ultimo suspiro del Moro)

อาณาจักรฆอรนาเฏาะฮฺ หรือ แกรนาดา ที่มั่นสุดท้ายของชาวมุสลิมในอัลอันดะลุส (สเปน) ก็ปิดฉากลงพร้อมกับชัยชนะของฝ่ายคริสเตียนที่ขับเคี่ยวต่อสู้กับชาวมุสลิมหรือพวกมัวร์มาตลอดระยะเวลาร่วม 800 ปี ความจริงชาวมุสลิมได้สูญเสียฆอรนาเฏาะฮฺมาตั้งแต่ วันที่ 1 มกราคมของปีนั้น (1492) แล้ว เพียงแต่การสูญเสียอย่างเป็นทางการนั้นเกิดขึ้นในวันถัดมา คือ วันที่ 2 มกราคม 1492

และการสูญเสียนครฆอรนาเฏาะฮฺในปีดังกล่าวก็หาใช่เป็นโศกนาฏกรรมที่แท้จริงไม่ หากแต่ว่าโศกนาฏกรรมที่แท้จริงได้เริ่มขึ้นหลังจากนั้น เพราะเพียง 7 ปีให้หลัง (คศ.1499) เงื่อนไขอันเป็นข้อตกลงในสนธิสัญญาส่งมอบเมืองนั้นก็ถูกละเมิดอย่างไม่แยแสจากฝ่ายคริสเตียน บรรดามัสญิดถูกสั่งปิด การประกอบพิธีกรรมถูกสั่งห้าม การตั้งศาลพิเศษเพื่อตรวจสอบชาวมุสลิมที่ตกค้างอยู่ในฆอรนาเฏาะฮฺโดยฝ่ายศาสนจักรก็มีขึ้น มุสลิมถูกบังคับให้เข้ารีตในคริสต์ศาสนา ตำรับตำราทางวิชาการถูกเผาทำลายไม่เว้นแม้แต่พระมหาคัมภีร์อัลกุรอ่าน มีการสั่งห้ามชาวมุสลิมพูดภาษาอาหรับและห้ามอาบน้ำ

ดินแดนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นดินแดนอิสลามกลับกลายมาเป็นดินแดนแห่งการปฏิเสธโดยสิ้นเชิงบรรดามัสญิดที่สง่างามด้วยสถาปัตยกรรมอิสลามถูกแปรเปลี่ยนเป็นโบสถ์วิหารในคริสตศาสนาจนหมดสิ้น มุสลิมจำนวนหลายล้านคนจึงจำต้องอพยพละทิ้งถิ่นฐานของตนซึ่งเคยอาศัยและรังสรรค์ความเจริญรุ่งเรืองเอาไว้ตลอดระยะเวลาร่วม 8 ศตวรรษ สงครามครูเสดในดินแดนตะวันออก (เยรูซาเล็ม ปาเลสไตน์) พวกคริสเตียนอาจจะพ่ายแพ้ต่อชาวมุสลิมนับแต่ชัยชนะของสุลตอน ซ่อลาฮุดดีน อัลอัยยูบีย์หรือสลาดินในการปลดปล่อยแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์ แต่สงครามครูเสดในดินแดนอัลอันดะลุส มุสลิมเป็นฝ่ายปราชัย

อีกทั้งในปีเดียวกันนั้น (1492) คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ผู้ได้รับการอุปถัมภ์จากพระราชินีอิซาเบลล่าของสเปนก็สามารถค้นพบโลกใหม่หรือทวีปอเมริกาได้สำเร็จ ศักราชแห่งการล่าอาณานิคมและความยิ่งใหญ่ของกองเรือ อมาด้าของสเปน และการผงาดขึ้นของมหาอำนาจทางทะเลอย่างโปรตุเกสก็เริ่มต้นขึ้นพร้อมกับการล่มสลายของการผูกขาดทางการค้าและการควบคุมเส้นทางการค้าทั้งทางบกและทางทะเลของประชาคมมุสลิม

นี่กระมังเป็นสาเหตุที่พวกฝรั่งตะวันตกได้ถือเอาวันที่ 1 มกราคมเป็นวันเฉลิมฉลองชัยชนะในสงครามครูเสดที่มีต่อพวกนอกศาสนาอันหมายถึงชาวมุสลิมโดยรวม ซึ่งช่างเหมาะเจาะกับช่วงเวลาก่อนหน้านั้นราว 1 สัปดาห์ ที่พวกเขาเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสในวันที่ 25 ธันวาคมต่อเนื่องจนถึงวันที่ 1 มกราคม การเฉลิมฉลองของชาวคริสเตียนในช่วงเวลานั้นโดยเฉพาะในปี คศ.1492 จึงเป็นการเฉลิมฉลองชัยชนะที่มีต่อชาวมุสลิมอย่างมิต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมื่อกาลเวลาผ่านล่วงเลยไปผู้คนในสมัยหลังจะหลงลืมไปแล้วว่า เพราะอะไรพวกฝรั่งชาวคริสต์ จึงถือเอาวันที่ 1 มกราคมเป็นวันสำคัญของพวกเขาก็ตาม ในช่วงคริสต์มาสอีฟ ทำไมฝรั่งจึงมีธรรมเนียมกินไก่งวง ในทุกปีทำเนียบขาวจะจัดประเพณีการกินไก่งวงเพื่อขอบคุณพระเจ้ามีการปล่อยไก่งวงผู้โชคดีให้เป็นข่าวเกรียวกราวไปทั่วโลก ชะรอยไก่งวงที่ว่านี้ก็มีสัญลักษณ์แอบแฝงอยู่ พวกฝรั่งเรียกไก่งวงว่า เทอคิ (Turkey) ซึ่งหมายถึง ไก่แขกตุรกีและตุรกี ในชั้นหลังก็หมายถึง พวกมุสลิมที่ต่อสู้ขับเคี่ยวกับพวกฝรั่งชาวคริสเตียนในการทำสงครามศาสนา (ครูเสด) การฆ่าไก่งวงเพื่อรับประทานเป็นอาหารในช่วงคริสต์มาสอีฟก็คือสัญลักษณ์ในการพิฆาตพวกเติร์กหรือพวกคนนอกศาสนาที่หมายถึงมุสลิมนั่นเอง

ย้อนกลับไปยังอัลอันดะลุส (Andalucia) อีกครั้ง ในยุคที่ชาวมุสลิมหรือพวกมัวร์ (Moor) ปกครองสเปนและมีการสู้รบกับพวกคริสเตียนทางตอนเหนือนั้น มีการประกาศจากพระสันตะประปาแห่งกรุงโรมให้ชาวคริสเตียนทำสงครามครูเสดกับชาวมุสลิมในสเปนมาโดยตลอด นับตั้งแต่ครั้งกษัตริย์ชารล์ มาร์แตง ของพวกแฟรงก์ (ฝรั่งเศส) ทำศึกกับกองทัพของชาวมุสลิมที่ข้ามเทือกเขาพิเรนีสไปยังตอนใต้ของฝรั่งเศสในสมรภูมิตูร บูวาติเยร์ (Tour-Poitiers) เมื่อปี ฮ.ศ.114 ตรงกับปี คศ.732 เป็นต้นมา

ดังนั้นการสู้รบของพวกคริสเตียนทางตอนเหนือของคาบสมุทรไอบีเรีย (สเปน) กับชาวมุสลิมในอัลอันดะลุส จึงเป็นการทำสงครามครูเสดอย่างไม่ต้องสัย บ่อยครั้งที่พวกคริสเตียนในสเปนได้รับการสนับสนุนจากกองเรือรบของพวกครูเสดซึ่งมีทั้งฝรั่งเศส, อังกฤษ, เยอรมัน และอิตาลี (เวนิส-เจนัวร์) ในการศึกเพื่อเข้ายึดครองหัวเมืองชายทะเลในอัลอันดะลุส พวกคริสเตียนในยุโรปมิเคยละความพยายามในการร่วมมือกันทำการศึกกับชาวมุสลิมเลยนับแต่ยุคกลางจวบจนทุกวันนี้

ฉะนั้นชัยชนะของคริสเตียนในสเปนที่สามารถขับไล่ชาวมุสลิมออกจากอัลอันดะลุสได้สำเร็จ จึงเป็นชัยชนะร่วมกันของคริสเตียนทั่วยุโรป เหตุนี้จึงไม่แปลกอันใดในการที่พวกเขาจะเฉลิมฉลองกันอย่างเอิกเกริกในวันที่ 1 มกราคมของทุกปี แต่สำหรับประชาคมมุสลิมแล้ว วันที่ 1 มกราคมของทุกปีหาใช่เป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองไม่แต่เป็นวันแห่งโศกนาฏกรรม และความสูญเสียที่ไม่มีวันคืนกลับ เราอาจจะสูญเสียอัลอันดะลุสไปแล้ว แต่ที่สำคัญขออย่าให้มุสลิมได้สูญเสียจิตวิญญาณและความเป็นอัตลักษณ์ของตน เพราะนั่นย่อมหมายถึงความอัปยศและความปราชัยอย่างที่สุดซึ่งจะไปโทษใครมิได้เลยนอกจากตัวเอง


(لاحول ولاقوة إلابا لله)
อะลี อะฮฺหมัด อบูบักร มุฮำหมัด อะมีน อัลอัซฮะรีย์ (อาลี เสือสมิง)
10 มกราคม 2551
1 มุฮัรรอม 1429



(หมายเหตุ) เทศกาลปามะเขือเทศในสเปนนั้น ท่านทราบหรือไม่ว่าจริง ๆ แล้วก็คือการรำลึกถึงเหตุการณ์ ”การอพยพของชาวมุสลิมออกจากบรรดาหัวเมืองที่ตกเป็นของฝ่ายคริสเตียนสเปน” เมื่อชาวมุสลิมละทิ้งบ้านเรือนของพวกตนและพากันอพยพออกจากเมือง ในระหว่างทางนั้นต้องเดินผ่านบ้านเรือนและชุมชนของชาวคริสเตียนซึ่งพวกนั้นก็จะขว้างปาสิ่งของประดามีเข้าใส่กลุ่มชาวมุสลิมไม่เว้นแม้แต่มะเขือเทศที่พวกเขาหยิบฉวยได้จากก้นครัว นี่คือที่มาของเทศกาลปามะเขือเทศในสเปนซึ่งเราเคยพบเห็นจากข่าวต่างประเทศนั่นเอง

แหล่งที่มา : http://alisuasaming.org/


#ประวัติศาสตร์อิสลาม_Islamic_Society_Online
#การเมือง_ลัทธิและความเชื่อ_Islamic_Society_Online
#ประชาชาติอิสลาม_Islamic_Society_Online
#เรื่องเล่าคติเตือนใจ_Islamic_Society_Online
Islamic Society Online



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความแนะนำ

World Clock

Featured Posts

เรื่องราวของสองอารยธรรม : อารยธรรมของชาวไวกิ้งและมุสลิม

เรื่องราวของสองอารยธรรม : อารยธรรมของชาวไวกิ้งและมุสลิม โดย : Cem Nizamoglu และ Sairah Yassir-Deane ย้อนหลังไปถึงมีนาคม 2015 ข่าวเกี่ยวก...