product :

วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2561

อาลี บานัต เศรษฐีมุสลิมผู้เป็นโรคมะเร็ง

อาลี บานัต เศรษฐีมุสลิมผู้เป็นโรคมะเร็ง



อาลี บานัต เศรษฐีมุสลิมชาวออสเตรเลีย
ผู้เป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย

เศรษฐีหนุ่มบริจาคเงินทั้งหมดที่มี ทุ่มเททำความดีเพื่อการกุศล หลังรู้ว่าตัวเองป่วยโรคร้าย กำลังจะตาย เผยเมื่อตายไปแล้ว ไม่สามารถเอาอะไรติดตัวไปได้ นอกจากความดี

ย้อนกลับไปในปี 2558 อาลี บานัต เศรษฐีมุสลิมชาวออสเตรเลีย วัย 30 ปี ได้รับรู้ข่าวร้ายที่แย่ที่สุดในชีวิต หมอบอกว่าเขาป่วยเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย และจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้แค่เพียง 7 เดือนเท่านั้น อาลีก็เหมือนชายหนุ่มทั่วๆ ไปในวัยเดียวกัน เขาเคยมีความฝัน มีความหวัง และอยากเติบโตเป็นผู้ใหญ่โดยได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันเหือดแห้งลงไป

ในช่วงเวลาที่ความตายกำลังคืบคลานมาหานั้น อาลีบอกตัวเองและสัญญากับพระเจ้าว่า เขาจะทำความดีให้ได้มากที่สุด แม้เขาจะต้องตายไปแบบตัวเปล่า ไม่หลงเหลือเงินอีกเลยก็ตาม

เรื่องราวชีวิตของ อาลี บานัต ถูกหยิบยกมารายงานโดยเว็บไซต์อินดิเพนเดนท์ เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2561 ด้วยความที่อาลีเกิดในครอบครัวที่ร่ำรวย และเขาเองก็มีธุรกิจที่ประสบความสำเร็จเป็นของตัวเอง เขาจึงเป็นเศรษฐีที่มีเงินมหาศาล ใช้ชีวิตอย่างหรูหรา เขามีรถสปอร์ตมากมาย เสื้อผ้าแพงๆ เต็มตู้ และใช้ชีวิตอย่างเต็มที่กับทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะมีเงินเหลือเฟือชนิดที่ไม่จำเป็นต้องคิดมากเรื่องใดๆ จนกระทั่งวันที่อาลีรู้ว่าตัวเองป่วยเป็นโรคร้าย เขาก็ตระหนักได้ว่าตลอดชีวิตของเขา เขาวิ่งหาเป้าหมายที่ผิดมา

ในการสัมภาษณ์กับ OnePath Network อาลี เปิดเผยว่า โรคมะเร็งของเขาคือของขวัญที่ดีที่สุดจากพระอัลเลาะห์ เมื่อพิธีกรสอบถามว่า โรคร้ายถึงชีวิตแบบนี้มันดีอย่างไร ทำไมเขาถึงคิดเช่นนั้น อาลี ตอบว่า มันเป็นของขวัญชิ้นสำคัญ เพราะมันให้โอกาสเขาได้เปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองในทางที่ถูกต้อง ให้เขาได้มีโอกาสช่วยเหลือคนอื่น เมื่อรับรู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย รถสปอร์ตแรงม้าสูง นาฬิกาหรูหรา เสื้อผ้าราคาแพง ไม่ใช่สิ่งที่มีความหมายอีกต่อไป

หลังจากที่ได้ทบทวนชีวิตตัวเอง และมองหาช่องทางต่อไปในชีวิตที่เหลืออยู่ เขาพบว่าประเทศโตโกคือหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของประชากรในประเทศ ล้วนมีคุณภาพชีวิตที่อัตคัดขัดสน ยากไร้ ขาดแคลนระบบสาธารณูปโภคหลายๆ อย่างที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิต นอกจากนี้แล้ว ประมาณ 12-20 เปอร์เซ็นต์ของชาวโตโก คือผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม ด้วยเหตุนี้ อาลีจึงตัดสินใจขายธุรกิจของเขา ขายบ้าน ขายรถ รวมทั้งข้าวของหรูหราที่มี และเดินทางไปยังประเทศโตโก

"รถหรูของผม มูลค่าของมันสูงมาก แค่คุณค่าของมันไม่สามารถเทียบเท่ากับรองเท้า 1 คู่ ที่ผมได้มอบให้แก่เด็กชาวแอฟริกันที่ไม่มีรองเท้าใส่ การได้เห็นรอยยิ้มจากเด็กคนนั้น มันมีความหมายต่อผมมากกว่ารถหรูคันนี้หลายเท่า" อาลี

อาลีเริ่มต้นจากการลงพื้นที่ไปพบปะพูดคุยกับชาวบ้าน หลังจากนั้นก็ตัดสินใจบริจาคเงินเพื่อสร้างมัสยิดท้องถิ่น เพื่อให้ชาวบ้านได้มีสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนา มอบเงินทุนการศึกษาและค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้แก่โรงเรียนหลายๆ แห่งในพื้นที่ รวมทั้งบริจาคข้าวของเครื่องใช้ ข้าวสารอาหารแห้ง และขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลเพื่อให้ชาวบ้านได้มีน้ำใช้ ทั้งบริโภคและเลี้ยงสัตว์ ในเวลาต่อมา อาลีเล็งเห็นว่าเขาควรปฏิบัติงานนี้ให้จริงจังและเป็นกิจจะลักษณะ เขาจึงก่อตั้งมูลนิธิมุสลิมทั่วโลก หรือ เอ็มเอทีดับเบิลยู ขึ้นมา (MATW - Muslims Around The World) เพื่อดำเนินงานด้านการกุศลอย่างเต็มรูปแบบ และเริ่มเปิดระดมทุนเพื่อหาเงินสนับสนุนโครงการต่างๆ ของเขา

มูลนิธิของอาลีได้วางโครงการเพื่อสังคมเอาไว้มากมาย โดยโปรเจคท์ที่สำคัญที่สุดคือ สร้างบ้านพักให้แก่เหล่าหญิงหม้ายยากไร้ที่ไร้ที่อยู่อาศัยและไม่มีงานทำ, สร้างศูนย์การแพทย์ขนาดเล็กในพื้นที่, สร้างโรงเรียนให้แก่เด็กๆ และโปรเจคท์พัฒนา-สนับสนุนธุรกิจในชุมชน เพื่อให้ชาวบ้านได้มีรายได้ โดยไม่ต้องรอการช่วยเหลือจากภายนอก จุดนี้อาลีมองว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะเงินบริจาคไม่ได้มีอยู่ตลอด และหมดลงได้ภายในระยะเวลาอันสั้น การสร้างรากฐานเหล่านี้ จะทำให้ชาวบ้านสามารถพึ่งพาตัวเองได้ในระยะยาว และทำให้สังคมถูกพัฒนาไปในทิศทางที่ยั่งยืน

ข่าวดีสำหรับอาลีก็คือ เมื่อ 7 เดือนผ่านไป เขาก็ยังคงมีชีวิตอยู่ อาลีเข้ารับการรักษาตัวไปพร้อมๆ กับเดินหน้าช่วยเหลือสังคมที่ประเทศโตโก ได้ลงพื้นที่ไปพบเด็กๆ ได้แจกข้าวของ ทำให้พวกเขามีรอยยิ้มและมีความหวัง ซึ่งมันคือผลตอบแทนที่มีค่ามหาศาล และมีความหมายเหนือสิ่งอื่นใด

โดยตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2558-2561 อาลีบริจาคเงินส่วนตัวแทบทั้งหมดให้แก่โครงการการกุศลของเขา และเขาก็สามารถระดมทุนได้มากกว่า 600,000 ปอนด์ หรือกว่า 25.6 ล้านบาท เขามักจะโพสต์แชร์บรรยากาศอบอุ่นกับเหล่าชาวบ้านลงในเฟซบุ๊กของมูลนิธิ พร้อมกับอัปเดตอยู่เสมอว่าโครงการต่างๆ คืบหน้าไปอย่างไรบ้าง

"ผมมีโอกาสได้ไปร่วมงานศพของสหายคนหนึ่ง เขาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเหมือนๆ กับที่ผมเป็น ขณะที่อยู่ในสุสานแห่งนั้น ผมนึกถึงตัวเองในวันที่ผมจะต้องจากโลกนี้ไป ผมจะเหลือแต่เพียงตัวเปล่า ไม่มีใครเลย ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ไม่มีพี่น้อง มีเพียงแต่ความตายเท่านั้น แม้แต่เงินทองทั้งหมดที่มี ก็ไม่สามารถติดตัวไปได้ สิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ และสามารถนำติดตัวไปได้คือ ความดีจากการช่วยเหลือสังคม ในวันที่ผมหมดลมหายใจ ทอดกายลงในโลงศพ มันจะเป็นสิ่งเดียวที่จะเดินทางไปพร้อมกับผม ไปสู่จุดหมายปลายทางสุดท้าย" อาลี กล่าว

ในขณะที่สองมือและหัวใจของอาลีพยายามสู้ต่อไปเพื่อชีวิตที่ดีของเด็กๆ และผู้คนในโตโก สุขภาพร่างกายของเขาก็ทรุดโทรมลงเรื่อยๆ จนกระทั่งวันที่ 29 พฤษภาคม 2561 อาลีก็เสียชีวิต ด้วยวัย 32 ปี แม้เขาจะจากไปแล้ว แต่ชื่อของเขายังคงเป็นที่จดจำ มูลนิธิของเขาจะยังคงมุ่งมั่นทำงานเพื่อสานต่อเจตนารมณ์ของชายหนุ่มคนนี้ต่อไปดังที่เขาตั้งใจไว้

ที่มาข้อมูล : ไลน์ Dead Pool เดดพูล


#NEWS_Islamic_Society_Online
#วีรบุรุษอิสลาม_Islamic_Society_Online
#ประชาชาติอิสลาม_Islamic_Society_Online
#เรื่องเล่าคติเตือนใจ_Islamic_Society_Online
Islamic Society Online



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความแนะนำ

World Clock

Featured Posts

เรื่องราวของสองอารยธรรม : อารยธรรมของชาวไวกิ้งและมุสลิม

เรื่องราวของสองอารยธรรม : อารยธรรมของชาวไวกิ้งและมุสลิม โดย : Cem Nizamoglu และ Sairah Yassir-Deane ย้อนหลังไปถึงมีนาคม 2015 ข่าวเกี่ยวก...