อาลี บานัต เศรษฐีมุสลิมผู้เป็นโรคมะเร็ง
ผู้เป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย
เศรษฐีหนุ่มบริจาคเงินทั้งหมดที่มี ทุ่มเททำความดีเพื่อการกุศล หลังรู้ว่าตัวเองป่วยโรคร้าย กำลังจะตาย เผยเมื่อตายไปแล้ว ไม่สามารถเอาอะไรติดตัวไปได้ นอกจากความดี
ย้อนกลับไปในปี 2558 อาลี บานัต เศรษฐีมุสลิมชาวออสเตรเลีย วัย 30 ปี ได้รับรู้ข่าวร้ายที่แย่ที่สุดในชีวิต หมอบอกว่าเขาป่วยเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย และจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้แค่เพียง 7 เดือนเท่านั้น อาลีก็เหมือนชายหนุ่มทั่วๆ ไปในวัยเดียวกัน เขาเคยมีความฝัน มีความหวัง และอยากเติบโตเป็นผู้ใหญ่โดยได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันเหือดแห้งลงไป
ในช่วงเวลาที่ความตายกำลังคืบคลานมาหานั้น อาลีบอกตัวเองและสัญญากับพระเจ้าว่า เขาจะทำความดีให้ได้มากที่สุด แม้เขาจะต้องตายไปแบบตัวเปล่า ไม่หลงเหลือเงินอีกเลยก็ตาม
เรื่องราวชีวิตของ อาลี บานัต ถูกหยิบยกมารายงานโดยเว็บไซต์อินดิเพนเดนท์ เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2561 ด้วยความที่อาลีเกิดในครอบครัวที่ร่ำรวย และเขาเองก็มีธุรกิจที่ประสบความสำเร็จเป็นของตัวเอง เขาจึงเป็นเศรษฐีที่มีเงินมหาศาล ใช้ชีวิตอย่างหรูหรา เขามีรถสปอร์ตมากมาย เสื้อผ้าแพงๆ เต็มตู้ และใช้ชีวิตอย่างเต็มที่กับทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะมีเงินเหลือเฟือชนิดที่ไม่จำเป็นต้องคิดมากเรื่องใดๆ จนกระทั่งวันที่อาลีรู้ว่าตัวเองป่วยเป็นโรคร้าย เขาก็ตระหนักได้ว่าตลอดชีวิตของเขา เขาวิ่งหาเป้าหมายที่ผิดมา
ในการสัมภาษณ์กับ OnePath Network อาลี เปิดเผยว่า โรคมะเร็งของเขาคือของขวัญที่ดีที่สุดจากพระอัลเลาะห์ เมื่อพิธีกรสอบถามว่า โรคร้ายถึงชีวิตแบบนี้มันดีอย่างไร ทำไมเขาถึงคิดเช่นนั้น อาลี ตอบว่า มันเป็นของขวัญชิ้นสำคัญ เพราะมันให้โอกาสเขาได้เปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองในทางที่ถูกต้อง ให้เขาได้มีโอกาสช่วยเหลือคนอื่น เมื่อรับรู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย รถสปอร์ตแรงม้าสูง นาฬิกาหรูหรา เสื้อผ้าราคาแพง ไม่ใช่สิ่งที่มีความหมายอีกต่อไป
หลังจากที่ได้ทบทวนชีวิตตัวเอง และมองหาช่องทางต่อไปในชีวิตที่เหลืออยู่ เขาพบว่าประเทศโตโกคือหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของประชากรในประเทศ ล้วนมีคุณภาพชีวิตที่อัตคัดขัดสน ยากไร้ ขาดแคลนระบบสาธารณูปโภคหลายๆ อย่างที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิต นอกจากนี้แล้ว ประมาณ 12-20 เปอร์เซ็นต์ของชาวโตโก คือผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม ด้วยเหตุนี้ อาลีจึงตัดสินใจขายธุรกิจของเขา ขายบ้าน ขายรถ รวมทั้งข้าวของหรูหราที่มี และเดินทางไปยังประเทศโตโก
"รถหรูของผม มูลค่าของมันสูงมาก แค่คุณค่าของมันไม่สามารถเทียบเท่ากับรองเท้า 1 คู่ ที่ผมได้มอบให้แก่เด็กชาวแอฟริกันที่ไม่มีรองเท้าใส่ การได้เห็นรอยยิ้มจากเด็กคนนั้น มันมีความหมายต่อผมมากกว่ารถหรูคันนี้หลายเท่า" อาลี
อาลีเริ่มต้นจากการลงพื้นที่ไปพบปะพูดคุยกับชาวบ้าน หลังจากนั้นก็ตัดสินใจบริจาคเงินเพื่อสร้างมัสยิดท้องถิ่น เพื่อให้ชาวบ้านได้มีสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนา มอบเงินทุนการศึกษาและค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้แก่โรงเรียนหลายๆ แห่งในพื้นที่ รวมทั้งบริจาคข้าวของเครื่องใช้ ข้าวสารอาหารแห้ง และขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลเพื่อให้ชาวบ้านได้มีน้ำใช้ ทั้งบริโภคและเลี้ยงสัตว์ ในเวลาต่อมา อาลีเล็งเห็นว่าเขาควรปฏิบัติงานนี้ให้จริงจังและเป็นกิจจะลักษณะ เขาจึงก่อตั้งมูลนิธิมุสลิมทั่วโลก หรือ เอ็มเอทีดับเบิลยู ขึ้นมา (MATW - Muslims Around The World) เพื่อดำเนินงานด้านการกุศลอย่างเต็มรูปแบบ และเริ่มเปิดระดมทุนเพื่อหาเงินสนับสนุนโครงการต่างๆ ของเขา
มูลนิธิของอาลีได้วางโครงการเพื่อสังคมเอาไว้มากมาย โดยโปรเจคท์ที่สำคัญที่สุดคือ สร้างบ้านพักให้แก่เหล่าหญิงหม้ายยากไร้ที่ไร้ที่อยู่อาศัยและไม่มีงานทำ, สร้างศูนย์การแพทย์ขนาดเล็กในพื้นที่, สร้างโรงเรียนให้แก่เด็กๆ และโปรเจคท์พัฒนา-สนับสนุนธุรกิจในชุมชน เพื่อให้ชาวบ้านได้มีรายได้ โดยไม่ต้องรอการช่วยเหลือจากภายนอก จุดนี้อาลีมองว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะเงินบริจาคไม่ได้มีอยู่ตลอด และหมดลงได้ภายในระยะเวลาอันสั้น การสร้างรากฐานเหล่านี้ จะทำให้ชาวบ้านสามารถพึ่งพาตัวเองได้ในระยะยาว และทำให้สังคมถูกพัฒนาไปในทิศทางที่ยั่งยืน
ข่าวดีสำหรับอาลีก็คือ เมื่อ 7 เดือนผ่านไป เขาก็ยังคงมีชีวิตอยู่ อาลีเข้ารับการรักษาตัวไปพร้อมๆ กับเดินหน้าช่วยเหลือสังคมที่ประเทศโตโก ได้ลงพื้นที่ไปพบเด็กๆ ได้แจกข้าวของ ทำให้พวกเขามีรอยยิ้มและมีความหวัง ซึ่งมันคือผลตอบแทนที่มีค่ามหาศาล และมีความหมายเหนือสิ่งอื่นใด
โดยตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2558-2561 อาลีบริจาคเงินส่วนตัวแทบทั้งหมดให้แก่โครงการการกุศลของเขา และเขาก็สามารถระดมทุนได้มากกว่า 600,000 ปอนด์ หรือกว่า 25.6 ล้านบาท เขามักจะโพสต์แชร์บรรยากาศอบอุ่นกับเหล่าชาวบ้านลงในเฟซบุ๊กของมูลนิธิ พร้อมกับอัปเดตอยู่เสมอว่าโครงการต่างๆ คืบหน้าไปอย่างไรบ้าง
"ผมมีโอกาสได้ไปร่วมงานศพของสหายคนหนึ่ง เขาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเหมือนๆ กับที่ผมเป็น ขณะที่อยู่ในสุสานแห่งนั้น ผมนึกถึงตัวเองในวันที่ผมจะต้องจากโลกนี้ไป ผมจะเหลือแต่เพียงตัวเปล่า ไม่มีใครเลย ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ไม่มีพี่น้อง มีเพียงแต่ความตายเท่านั้น แม้แต่เงินทองทั้งหมดที่มี ก็ไม่สามารถติดตัวไปได้ สิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ และสามารถนำติดตัวไปได้คือ ความดีจากการช่วยเหลือสังคม ในวันที่ผมหมดลมหายใจ ทอดกายลงในโลงศพ มันจะเป็นสิ่งเดียวที่จะเดินทางไปพร้อมกับผม ไปสู่จุดหมายปลายทางสุดท้าย" อาลี กล่าว
ในขณะที่สองมือและหัวใจของอาลีพยายามสู้ต่อไปเพื่อชีวิตที่ดีของเด็กๆ และผู้คนในโตโก สุขภาพร่างกายของเขาก็ทรุดโทรมลงเรื่อยๆ จนกระทั่งวันที่ 29 พฤษภาคม 2561 อาลีก็เสียชีวิต ด้วยวัย 32 ปี แม้เขาจะจากไปแล้ว แต่ชื่อของเขายังคงเป็นที่จดจำ มูลนิธิของเขาจะยังคงมุ่งมั่นทำงานเพื่อสานต่อเจตนารมณ์ของชายหนุ่มคนนี้ต่อไปดังที่เขาตั้งใจไว้
ที่มาข้อมูล : ไลน์ Dead Pool เดดพูล
#วีรบุรุษอิสลาม_Islamic_Society_Online
#ประชาชาติอิสลาม_Islamic_Society_Online
#เรื่องเล่าคติเตือนใจ_Islamic_Society_Online
Islamic Society Online
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น