ถึงร้อยพันศาสดา ก็ศาสนาเดียวกัน
(บรรจง บินกาซัน)
คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่าอิสลามเป็นศาสนาที่ก่อตั้งขึ้นมาโดยนบีมุฮัมมัดเพราะเห็นว่าลัทธิ นิกายและศาสนาอื่นๆ มักจะใช้ชื่อศาสดาเป็นชื่อของลัทธิหรือศาสนานั้นๆ ด้วยความเข้าใจเช่นนี้ นักบูรพคดีชาวตะวันตกบางคนจึงพยายามเรียกอิสลามว่า “ศาสนามุฮัมมัด” (Mohammedanism) จะด้วยเจตนาอะไรแฝงเร้นหรือไม่เจตนาก็ตาม การเรียกชื่อเช่นนี้ทำให้คนเข้าใจว่านบีมุฮัมมัดเป็นผู้ก่อตั้งศาสนาอิสลามขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม ความพยายามดังกล่าวก็ไม่เป็นผล เพราะไม่มีหลักฐานตรงไหนในคัมภีร์กุรอานที่นบีมุฮัมมัดอ้างว่าท่านเป็นผู้ก่อตั้งศาสนาของท่านขึ้นมาเอง หากแต่ท่านได้ยืนยันครั้งแล้วครั้งเล่าว่าหลักธรรมคำสอนต่างๆ ที่ท่านนำมานั้นล้วนมาจากพระเจ้า (ซึ่งในภาษาอาหรับเรียกว่า “อัลลอฮฺ”) และหลักธรรมที่ท่านนำมาสอนนั้นก็ไม่แตกต่างอะไรไปจากหลักธรรมคำสอนของศาสดาก่อนๆ นำมาไม่ว่าจะเป็นนบีอิบรอฮีม (อับราฮัม) มูซา (โมเสส) หรือนบีอีซา (พระเยซู) เพราะนบีเหล่านี้นำหลักธรรมคำสอนมาจากพระเจ้าองค์เดียวกัน คำสอนของนบีเหล่านี้จึงไม่มีอะไรขัดแย้งกัน แต่เนื่องจากคำสอนที่นบีเหล่านี้นำมาได้ถูกผู้คนหลงลืมไปและบันทึกคำสอนของนบีเหล่านั้นได้สูญหายหรือถูกทำลายหรือไม่ก็มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขไปตามกาลเวลาจนหลักคำสอนดั้งเดิมได้เลือนรางและสูญหายไป พระผู้เป็นเจ้าจึงได้ส่งคัมภีร์กุรอานมาเป็นหลักฐานยืนยันคำสอนของนบีคนก่อนๆ และเพื่อเป็นสิ่งแยกแยะว่าอะไรเป็นเรื่องเท็จที่กุขึ้นมา นอกจากนี้แล้ว พระองค์ยังได้แต่งตั้งให้นบีมุฮัมมัดเป็นผู้ให้คำอธิบายหลักธรรมคำสอนในคัมภีร์กุรอานทั้งโดยคำพูดและการปฏิบัติด้วย
สาระสำคัญของคำสอนที่นบีต่างๆ นำมาก็คือพระเจ้ามีองค์เดียว และพระเจ้าองค์เดียวกันนี้คือพระเจ้าที่มนุษย์จะต้องเคารพสักการะ เชื่อฟัง ปฏิบัติตาม วิงวอน บนบานและอธิษฐาน ใครก็ตามที่ศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวและปฏิบัติตามคำสอนของศาสดาที่พระเจ้าแต่งตั้งในสมัยของตน คนผู้นั้นก็เป็น “ผู้นอบน้อมยอมตนต่อพระเจ้า” ซึ่งในภาษาอาหรับเรียกว่า “มุสลิม”
ดังนั้น มุสลิมจึงมิใช่เพิ่งจะเริ่มมีในสมัยของนบีมุฮัมมัด หากแต่มีมาตั้งแต่โลกเริ่มมีมนุษย์คนแรกแล้ว นั่นคืออาดัม หลังจากสมัยของอาดัม ลูกหลานของอาดัมได้หลงผิดหันไปยึดเจว็ดบูชาต่างๆ มาเป็นพระเจ้าและเคารพสักการะสิ่งเหล่านั้นแทนพระเจ้าที่แท้จริง พระองค์จึงได้ให้โนอาห์มาตักเตือนผู้คนเหล่านั้น แต่ผู้คนส่วนใหญ่ปฏิเสธและเย้ยหยันคำตักเตือนของท่าน ในที่สุด โนอาห์ก็ได้วิงวอนขอให้พระเจ้าลงโทษผู้ปฏิเสธพระองค์ เหตุการณ์น้ำท่วมโลกจึงเกิดขึ้นเพื่อเป็นการทำลายล้างผู้ปฏิเสธพระเจ้า เรื่องราวนี้มีกล่าวไว้ในคัมภีร์ไบเบิลและคัมภีร์กุรอานด้วยรายละเอียดที่ต่างกัน
นบีอิบรอฮีม (อับราฮัม) บรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของพวกลูกหลานอิสราเอลและชาวอาหรับได้ถูกพระผู้เป็นเจ้าสั่งว่า “จงนอบน้อมยอมตน” ท่านก็ตอบรับทันทีว่า “ฉันนอบน้อมยอมตนต่อพระองค์แล้ว”
ในทำนองเดียวกัน นบีอิบรอฮีมก็สั่งสอนลูกๆ ให้ปฏิบัติตามแนวทางเดียวกับท่าน ยาโกบ (หรือยะกู๊บผู้ได้ฉายาว่าอิสราเอล) หลานของนบีอิบรฮีมก็ได้สั่งลูกๆ ของตนว่า “ลูกๆ เอ๋ย อัลลอฮฺได้ทรงเลือกแนวทางแห่งชีวิตนี้สำหรับเจ้าแล้ว ดังนั้น จงดำรงความเป็นมุสลิมไว้จนกว่าพวกเจ้าจะตาย”
เมื่อตอนที่ยะกู๊บจะเสียชีวิต ท่านได้ถามลูกๆ ว่า “หลังจากฉันแล้ว พวกเจ้าจะเคารพภักดีผู้ใด ?” ลูกๆ ของท่านกล่าวว่า “เราจะเคารพภักดีพระเจ้าที่พ่อและบรรพบุรุษของพ่อ นั่นคืออิบรอฮีม อิสมาอีล (อิชมาเอล) และอิสฮาก (อิสอัค) ยอมรับว่าเป็นพระเจ้าของพวกเขาและเราเป็นมุสลิม” (กุรอาน 2:131-133)
คัมภีร์กุรอานยืนยันว่านบีอิบรอฮีมมิได้เป็นยิวและมิได้เป็นคริสเตียน แต่ท่านเป็นมุสลิม เพราะชาวยิวนับถือคัมภีร์โตราห์และชาวคริสเตียนนับถือคัมภีร์ไบเบิลซึ่งเป็นคัมภีร์ที่มาทีหลังสมัยของนบีอิบรอฮีมหลายร้อยปี (กุรอาน 3:67)
ยูซุฟหรือโยเซฟลูกชายคนหนึ่งของยะกู๊บก็วิงวอนต่อพระเจ้าว่า “ขอได้โปรดให้ฉันตายในฐานะเป็นมุสลิมและได้โปรดรวมฉันไว้กับผู้มีคุณธรรมความดีที่สุดด้วยเถิด” (กุรอาน 12:101)
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะพบคำสอนบางอย่างที่คล้ายกันในคัมภีร์ไบเบิลและคัมภีร์กุรอาน เช่น
นบีมุฮัมมัดสั่งผู้ชายมุสลิมให้เข้าสุนัต (ขลิบหนังปลายอวัยวะเพศ) เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการเจริญรอยตามนบีคนก่อนๆ คัมภีร์ไบเบิลก็มีคำสั่งเรื่องนี้ไว้เช่นกัน “นี่เป็นพันธสัญญาของเราซึ่งเจ้าจะต้องรักษาระหว่างเรากับเจ้าและเชื้อสายของเจ้าที่จะสืบมา คือผู้ชายทุกคนจะต้องเข้าสุนัต เจ้าจงเข้าสุนัตตัดหนังหุ้มปลายองคชาติของเจ้า นี่จะเป็นหมายสำคัญของพันธสัญญาระหว่างเรากับเจ้า” (ปฐมกาล 17:10-11)
ทั้งยอห์นแบพติสต์และพระเยซูก็เข้าสุนัต (ลูกา 1:59 และ 2:21)
คัมภีร์กุรอานห้ามเรื่องดอกเบี้ย ในคัมภีร์ไบเบิลก็มีคำสั่งห้ามเช่นกันดังนี้
อย่างไรก็ตาม ความพยายามดังกล่าวก็ไม่เป็นผล เพราะไม่มีหลักฐานตรงไหนในคัมภีร์กุรอานที่นบีมุฮัมมัดอ้างว่าท่านเป็นผู้ก่อตั้งศาสนาของท่านขึ้นมาเอง หากแต่ท่านได้ยืนยันครั้งแล้วครั้งเล่าว่าหลักธรรมคำสอนต่างๆ ที่ท่านนำมานั้นล้วนมาจากพระเจ้า (ซึ่งในภาษาอาหรับเรียกว่า “อัลลอฮฺ”) และหลักธรรมที่ท่านนำมาสอนนั้นก็ไม่แตกต่างอะไรไปจากหลักธรรมคำสอนของศาสดาก่อนๆ นำมาไม่ว่าจะเป็นนบีอิบรอฮีม (อับราฮัม) มูซา (โมเสส) หรือนบีอีซา (พระเยซู) เพราะนบีเหล่านี้นำหลักธรรมคำสอนมาจากพระเจ้าองค์เดียวกัน คำสอนของนบีเหล่านี้จึงไม่มีอะไรขัดแย้งกัน แต่เนื่องจากคำสอนที่นบีเหล่านี้นำมาได้ถูกผู้คนหลงลืมไปและบันทึกคำสอนของนบีเหล่านั้นได้สูญหายหรือถูกทำลายหรือไม่ก็มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขไปตามกาลเวลาจนหลักคำสอนดั้งเดิมได้เลือนรางและสูญหายไป พระผู้เป็นเจ้าจึงได้ส่งคัมภีร์กุรอานมาเป็นหลักฐานยืนยันคำสอนของนบีคนก่อนๆ และเพื่อเป็นสิ่งแยกแยะว่าอะไรเป็นเรื่องเท็จที่กุขึ้นมา นอกจากนี้แล้ว พระองค์ยังได้แต่งตั้งให้นบีมุฮัมมัดเป็นผู้ให้คำอธิบายหลักธรรมคำสอนในคัมภีร์กุรอานทั้งโดยคำพูดและการปฏิบัติด้วย
สาระสำคัญของคำสอนที่นบีต่างๆ นำมาก็คือพระเจ้ามีองค์เดียว และพระเจ้าองค์เดียวกันนี้คือพระเจ้าที่มนุษย์จะต้องเคารพสักการะ เชื่อฟัง ปฏิบัติตาม วิงวอน บนบานและอธิษฐาน ใครก็ตามที่ศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวและปฏิบัติตามคำสอนของศาสดาที่พระเจ้าแต่งตั้งในสมัยของตน คนผู้นั้นก็เป็น “ผู้นอบน้อมยอมตนต่อพระเจ้า” ซึ่งในภาษาอาหรับเรียกว่า “มุสลิม”
ดังนั้น มุสลิมจึงมิใช่เพิ่งจะเริ่มมีในสมัยของนบีมุฮัมมัด หากแต่มีมาตั้งแต่โลกเริ่มมีมนุษย์คนแรกแล้ว นั่นคืออาดัม หลังจากสมัยของอาดัม ลูกหลานของอาดัมได้หลงผิดหันไปยึดเจว็ดบูชาต่างๆ มาเป็นพระเจ้าและเคารพสักการะสิ่งเหล่านั้นแทนพระเจ้าที่แท้จริง พระองค์จึงได้ให้โนอาห์มาตักเตือนผู้คนเหล่านั้น แต่ผู้คนส่วนใหญ่ปฏิเสธและเย้ยหยันคำตักเตือนของท่าน ในที่สุด โนอาห์ก็ได้วิงวอนขอให้พระเจ้าลงโทษผู้ปฏิเสธพระองค์ เหตุการณ์น้ำท่วมโลกจึงเกิดขึ้นเพื่อเป็นการทำลายล้างผู้ปฏิเสธพระเจ้า เรื่องราวนี้มีกล่าวไว้ในคัมภีร์ไบเบิลและคัมภีร์กุรอานด้วยรายละเอียดที่ต่างกัน
นบีอิบรอฮีม (อับราฮัม) บรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของพวกลูกหลานอิสราเอลและชาวอาหรับได้ถูกพระผู้เป็นเจ้าสั่งว่า “จงนอบน้อมยอมตน” ท่านก็ตอบรับทันทีว่า “ฉันนอบน้อมยอมตนต่อพระองค์แล้ว”
ในทำนองเดียวกัน นบีอิบรอฮีมก็สั่งสอนลูกๆ ให้ปฏิบัติตามแนวทางเดียวกับท่าน ยาโกบ (หรือยะกู๊บผู้ได้ฉายาว่าอิสราเอล) หลานของนบีอิบรฮีมก็ได้สั่งลูกๆ ของตนว่า “ลูกๆ เอ๋ย อัลลอฮฺได้ทรงเลือกแนวทางแห่งชีวิตนี้สำหรับเจ้าแล้ว ดังนั้น จงดำรงความเป็นมุสลิมไว้จนกว่าพวกเจ้าจะตาย”
เมื่อตอนที่ยะกู๊บจะเสียชีวิต ท่านได้ถามลูกๆ ว่า “หลังจากฉันแล้ว พวกเจ้าจะเคารพภักดีผู้ใด ?” ลูกๆ ของท่านกล่าวว่า “เราจะเคารพภักดีพระเจ้าที่พ่อและบรรพบุรุษของพ่อ นั่นคืออิบรอฮีม อิสมาอีล (อิชมาเอล) และอิสฮาก (อิสอัค) ยอมรับว่าเป็นพระเจ้าของพวกเขาและเราเป็นมุสลิม” (กุรอาน 2:131-133)
คัมภีร์กุรอานยืนยันว่านบีอิบรอฮีมมิได้เป็นยิวและมิได้เป็นคริสเตียน แต่ท่านเป็นมุสลิม เพราะชาวยิวนับถือคัมภีร์โตราห์และชาวคริสเตียนนับถือคัมภีร์ไบเบิลซึ่งเป็นคัมภีร์ที่มาทีหลังสมัยของนบีอิบรอฮีมหลายร้อยปี (กุรอาน 3:67)
ยูซุฟหรือโยเซฟลูกชายคนหนึ่งของยะกู๊บก็วิงวอนต่อพระเจ้าว่า “ขอได้โปรดให้ฉันตายในฐานะเป็นมุสลิมและได้โปรดรวมฉันไว้กับผู้มีคุณธรรมความดีที่สุดด้วยเถิด” (กุรอาน 12:101)
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะพบคำสอนบางอย่างที่คล้ายกันในคัมภีร์ไบเบิลและคัมภีร์กุรอาน เช่น
นบีมุฮัมมัดสั่งผู้ชายมุสลิมให้เข้าสุนัต (ขลิบหนังปลายอวัยวะเพศ) เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการเจริญรอยตามนบีคนก่อนๆ คัมภีร์ไบเบิลก็มีคำสั่งเรื่องนี้ไว้เช่นกัน “นี่เป็นพันธสัญญาของเราซึ่งเจ้าจะต้องรักษาระหว่างเรากับเจ้าและเชื้อสายของเจ้าที่จะสืบมา คือผู้ชายทุกคนจะต้องเข้าสุนัต เจ้าจงเข้าสุนัตตัดหนังหุ้มปลายองคชาติของเจ้า นี่จะเป็นหมายสำคัญของพันธสัญญาระหว่างเรากับเจ้า” (ปฐมกาล 17:10-11)
ทั้งยอห์นแบพติสต์และพระเยซูก็เข้าสุนัต (ลูกา 1:59 และ 2:21)
คัมภีร์กุรอานห้ามเรื่องดอกเบี้ย ในคัมภีร์ไบเบิลก็มีคำสั่งห้ามเช่นกันดังนี้
“อย่าเอาดอกเบี้ยหรือเงินเพิ่มอะไรจากเขา แต่จงยำเกรงพระเจ้าเพื่อว่าพี่น้องเจ้าจะอยู่ใกล้ชิดกับเจ้าได้ เจ้าอย่าให้เขายืมเงินด้วยคิดดอกเบี้ย” (เลวีนิติ 25:36-37)
คัมภีร์กุรอานประณามพฤติกรรมรักร่วมเพศอย่างรุนแรงว่าเป็นความชั่วที่แม้แต่สัตว์เองก็ไม่ทำและยังได้เล่าเรื่องราวที่พระเจ้าลงโทษชาวเมืองโซดอมด้วยการทำลายเมืองนี้จนจมธรณีไปเพราะสาเหตุที่ชาวเมืองนี้ชอบมีพฤติกรรมรักร่วมเพศ คัมภีร์ไบเบิลก็เล่าเรื่องราวดังกล่าวนี้ไว้เช่นกัน
“แล้วพระเจ้าทรงให้กำมะถันและไฟจากพระเจ้าตกจากฟ้าลงมาบนเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ และพระองค์ทรงขยี้เมืองเหล่านั้น ลุ่มน้ำทั้งหมด ชาวเมืองทั้งสิ้นและพืชต่างๆ” (ปฐมกาล 19:24-25)
แต่ทว่าในปัจจุบัน ชาติคริสเตียนบางชาติในยุโรปและรัฐบางรัฐในสหรัฐอเมริกาได้อนุญาตให้มีการแต่งงานกันในเพศเดียวกัน
คัมภีร์กุรอานสั่งห้ามการบูชาสักการะเจว็ดรูปปั้นต่างๆ คัมภีร์ไบเบิลก็สั่งห้ามเช่นกัน
“อย่าทำรูปเคารพสำหรับตนเป็นรูปสิ่งใดซึ่งมีอยู่อยู่ในฟ้าเบื้องบน หรือบนแผ่นดินเบื้องล่าง หรือในน้ำใต้แผ่นดิน อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่านั้น เพราะเราคือพระเจ้าของเจ้า” (อพยพ 20:4-5)
“พระเยซูจึงตรัสตอบว่า “ ไอ้ซาตาน จงไปเสียให้พ้น เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า จงกราบนมัสการพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของท่านและปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว…” (มัทธิว 4:10)
นบีมุฮัมมัดสอนให้มุสลิมทักทายกันด้วยคำว่า “อัสสะลามุอะลัยกุม” (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน)
คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า : พระเยซูได้เสด็จเข้ามาประทับยืนอยู่ท่ามกลางเขา ตรัสว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด” ตรงกับภาษาอาหรับว่า “อัสสะลามุอะลัยกุม” (ยอห์น 20:26)
การกินเนื้อหมูไม่เพียงแต่จะถูกสั่งห้ามในคัมภีร์กุรอานเท่านั้น แม้แต่คัมภีร์ไบเบิลก็สั่งห้ามด้วย
“….หมู เพราะมันเป็นสัตว์แยกกีบและมีกีบผ่าแต่ไม่เคี้ยวเอื้อง จึงเป็นสัตว์มลทินแก่เจ้า อย่ารับประทานเนื้อของสัตว์เหล่านี้เลยและเจ้าอย่าแตะต้องซากของมัน มันเป็นมลทินแก่เจ้า” (เลวีนิติ 11:7-8)
นบีมุฮัมมัดถือศีลอดตามคำสั่งของพระเจ้า พระเยซูก็ถือศีลอดเช่นกัน
“และพระองค์ทรงอดพระกระยาหารสี่สิบวันสี่สิบคืน ภายหลังพระองค์ก็ทรงอยากพระกระยาหาร” (มัทธิว 4:2)
จะเห็นได้ว่าหลักความเชื่อและคำสอนหลักๆของพระเจ้าที่ศาสดาทั้งหลายนำมานั้นมีความละม้ายคล้ายคลึงกัน เพราะมาจากพระเจ้าองค์เดียวกัน คำสอนของศาสนาจึงมิใช่ปัจจัยที่ทำให้มนุษย์แตกแยกหรือขัดแย้งกัน การออกจากหลักธรรมคำสอนของศาสนาต่างหากที่ทำให้มนุษย์แตกต่าง แตกแยกและขัดแย้งกัน
#ปาฏิหาริย์แห่งอิสลาม_Islamic_Society_Online
#มหัศจรรย์อัลกรุอาน_Islamic_Society_Online
#ประชาชาติอิสลาม_Islamic_Society_Online
#การเมือง_ลัทธิและความเชื่อ_Islamic_Society_Online
#เรื่องเล่าคติเตือนใจ_Islamic_Society_Online
#นานาทัศนคติ_Islamic_Society_Online
Islamic Society Online
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น