product :

วันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

กฎหมายอิสลามเบื้องต้น : กฎหมายอาญาว่าด้วยเรื่องการผิดประเวณี (ล่วงละเมิดทางเพศ)

กฎหมายอิสลามเบื้องต้น : กฎหมายอาญาว่าด้วยเรื่องการผิดประเวณี (ล่วงละเมิดทางเพศ)

(อาลี เสือสมิง)

กฎหมายอิสลามเบื้องต้น : ลักษณะอาญาและบทลงโทษในกฎหมายอิสลาม ว่าด้วยเรื่องการผิดประเวณี (ล่วงละเมิดทางเพศ)


การผิดประเวณี เรียกในภาษาอาหรับว่า อัซ-ซินา (اَلزِّنَا) หมายถึง การสมสู่ระหว่างชายหญิงที่มิใช่คู่สมรสของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นทางทวารหน้าหรือทวารหลังก็ตาม

การผิดประเวณีถือเป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาบาปใหญ่ (กะบาอิรฺ) รองจากการตกศาสนา (กุฟฺร์) การตั้งภาคีและการฆาตกรรม พระองค์อัลลอฮฺ (سبحا نه وتعالي) ทรงบัญญัติห้ามการผิดประเวณีเอาไว้ใน อัลกุรฺอานว่า :


وَلاَ تَقْرَبُواْ الزِّنَى إِنَّهُ كَانَ فَاحِشَةً وَسَاء سَبِيلاً


และสูเจ้าทั้งหลายอย่าเข้าใกล้การผิดประเวณี แท้จริงการผิดประเวณีคือความอนาจารและเป็นหนทางอันชั่วช้าเลวทราม” (ซูเราะฮฺ อัล-อิสรออฺ อายะฮฺที่ 32)


ส่วนหนึ่งจากวิทยปัญญาในการบัญญัติห้ามการผิดประเวณี คือการดำรงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ของสังคมมนุษย์, เป็นการรักษาเกียรติยศของผู้ศรัทธา และพิทักษ์ไว้ซึ่งเกียรติและศักดิ์ศรีของเชื้อสายโลหิตตลอดจนเป็นการป้องกันผู้ศรัทธาให้ห่างไกลจากความสำส่อนทางเพศอันเป็นสาเหตุของโรคร้ายที่รุนแรงเช่น เอดส์ เป็นต้น

ผู้กระทำผิดในคดีลักษณะอาญาว่าด้วยการผิดประเวณีมี 2 ลักษณะคือ

(1) ผู้ที่เป็นมุฮฺซอน ซึ่งมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
  1. บรรลุศาสนภาวะและมีสติสัมปชัญญะ
  2. เป็นเสรีชน
  3. มีการกระทำผิดโดยสมัครใจ มิได้ถูกบังคับ
  4. ผ่านการสมรสที่ถูกต้องและมีเพศสัมพันธ์เกิดขึ้นจากการสมรสนั้น

(2) ผู้ที่มิใช่มุฮฺซอน คือผู้ที่ยังไม่เคยสมรสมาก่อน

บทลงโทษในคดีลักษณะอาญาว่าด้วยการผิดประเวณี

  • หากผู้กระทำผิดเป็นผู้ที่มิใช่มุฮฺซอน คือผู้ที่ยังไม่เคยสมรสมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง จะต้องถูกลงโทษด้วยการเฆี่ยน (โบย) 100 ที และเนรเทศเป็นเวลา 1 ปี
  • หากผู้กระทำผิดเป็นมุฮฺซอน คือผ่านการสมรสที่ถูกต้องมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง จะต้องถูกลงโทษด้วยการขว้างด้วยก้อนหินจนตาย

หลักฐานว่าด้วยการเฆี่ยน (โบย) 100 ที สำหรับผู้กระทำผิดประเวณีที่มิใช่มุฮฺซอนคือ อัลกุรฺอานที่ระบุว่า :


( الزَّانِيَةُ وَالزَّانِي فَاجْلِدُوا كُلَّ وَاحِدٍ مِّنْهُمَا مِائَةَ جَلْدَةٍ – الآية- )


หญิงที่ทำผิดประเวณีและชายที่ทำผิดประเวณีนั้น พวกท่านจงเฆี่ยนแต่ละบุคคลจากทั้งสองนั้น 100 ครั้ง” (ซูเราะฮฺ อัน-นูร อายะฮฺที่ 2)


ส่วนหลักฐานที่ว่าด้วยการเนรเทศผู้กระทำผิดเป็นเวลา 1 ปีนั้นได้รับการยืนยันในฮะดีษซ่อฮีฮฺ และการอิจญ์มาอฺของบรรดาซอฮาบะฮฺ โดยคำตัดสินให้เนรเทศนั้นต้องมาจากคำตัดสินของผู้พิพากษา และการเนรเทศนี้จำเป็นทั้งผู้กระทำผิดที่เป็นชายและเป็นหญิง ยกเว้นในกรณีของผู้หญิงต้องมีผู้ที่เป็นมุฮฺรอม (ชายที่ห้ามแต่งงานด้วย) ร่วมเดินทางไปกับนาง และระยะทางในการเนรเทศนั้นต้องเป็นระยะทางที่อนุญาตให้ละหมาดย่อได้ขึ้นไป

หลักฐานว่าด้วยการขว้างก้อนหินจนตายในกรณีของผู้กระทำผิดที่เป็นมุฮฺซอนคือ การกระทำที่มีรายงานมาจากท่านนบี และอายะฮฺอัลกุรฺอานที่ถูกยกเลิกการอ่าน แต่ยังคงใช้ข้อตัดสินจากอายะฮฺนั้น คืออายะฮฺที่ว่า :


( اَلشَّيْخُ وَالشَّيْخَةُ إِذَازَنَيَافَارْجُمُوْهُمَاالْبَتَةَ نَكَالاًمِنَ اللهِ وَالله ُعَزِيْزٌحَكِيْمٌ )


ชายที่แต่งงานแล้วและหญิงที่แต่งงานแล้ว เมื่อทั้งสองได้กระทำผิดประเวณี พวกท่านจงขว้างบุคคลทั้งสองโดยเด็ดขาด (ถึงตาย) อันเป็นการลงทัณฑ์จากพระองค์อัลลอฮฺ และอัลลอฮฺทรงเกียรติยิ่ง อีกทั้งทรงปรีชาญาณยิ่ง


เงื่อนไขในการลงโทษผู้กระทำผิดประเวณี มีดังนี้
  1. ผู้กระทำผิดเป็นมุสลิม มีสติ สัมปชัญญะ บรรลุศาสนภาวะ และกระทำไปโดยสมัครใจ ไม่ถูกบังคับ
  2. การกระทำผิดประเวณีนั้นปลอดข้อคลุมเครือที่ศาสนาอนุโลมให้ อาทิเช่น ชายพบหญิงนอนหลับอยู่ในที่นอนของตนแล้วเข้าใจว่าหญิงนั้นคือภรรยาของตนแล้วมีเพศสัมพันธ์ระหว่างกัน ต่อมาปรากฏว่าหญิงนั้นมิใช่ภรรยาของตน ในกรณีเช่นนี้ไม่มีการลงโทษตามที่ศาสนากำหนดไว้
  3. การกระทำผิดประเวณีนั้นได้รับการยืนยันที่เด็ดขาด เช่น ด้วยการสารภาพของผู้กระทำผิดนั้นด้วยสำนวนการสารภาพที่ชัดเจนเด็ดขาด และอยู่ในสภาวะที่ปกติ หรือด้วยการเป็นพยานของชายที่เที่ยงธรรม 4 คน
  4. ผู้กระทำผิดประเวณีต้องไม่กลับคำรับสารภาพก่อนการดำเนินบทลงโทษ

วิธีการในการลงโทษผู้กระทำผิดประเวณี

อิหม่ามทั้งสี่ท่านเห็นพ้องตรงกันว่า ผู้ถูกลงโทษให้ถูกขว้างที่เป็นชายนั้น ให้ลงโทษในสภาพที่จำเลยนั้นยืน โดยไม่ถูกผูกมัดกับสิ่งใด และไม่ต้องขุดหลุม ไม่ว่าการกระทำผิดนั้นจะได้รับการยืนยันด้วยการสารภาพหรือด้วยพยานก็ตาม

ส่วนถ้าผู้ถูกลงโทษเป็นหญิง ก็สมควรขุดหลุมลึกถึงอกของนาง หากการกระทำผิดของนางได้รับการยืนยันด้วยพยาน

ส่วนในกรณีที่นางสารภาพนั้น ไม่ต้องขุดหลุม ทั้งนี้เพื่อที่นางจะได้หนีได้หากนางกลับคำให้การสารภาพ

และในการขว้างนั้นให้ใช้ก้อนหินขนาดปานกลาง (พอดีมือ) ไม่เล็กและไม่ใหญ่เกินไป โดยการลงโทษให้กระทำต่อหน้า ผู้มีอำนาจ (อิหม่าม) หรือตัวแทนและต่อหน้าพยานรับรู้ที่มีจำนวนไม่น้อยกว่า 4 คน และเมื่อจำเลยได้เสียชีวิตแล้ว ให้จัดการศพตามปกติคือ อาบน้ำศพ ห่อศพ ละหมาด และนำไปฝัง

ส่วนกรณีการลงโทษด้วยการเฆี่ยนนั้น ให้จำเลยนั่งลงกับพื้น และเฆี่ยนที่หลังและอวัยวะส่วนอื่นที่มิใช่ใบหน้าและอวัยวะเพศ หรืออวัยวะที่อาจเป็นอันตรายถึงตายได้ และให้ใช้แส้ขนาดปานกลางในการเฆี่ยน ในกรณีของจำเลยที่เป็นหญิงให้นางปกปิดเรือนร่างด้วยผ้าบางๆ

โดยการลงโทษให้กระทำต่อหน้าผู้คนโดยเปิดเผย และไม่ให้ลงโทษในมัสยิดสถาน และการลงโทษไม่ว่าจะเป็นการเฆี่ยนหรือการขว้างด้วยก้อนหินต้องได้รับอนุญาตจากผู้มีอำนาจ (อิหม่าม) เท่านั้น

ในกรณีที่ผู้กระทำผิดเป็นหญิงที่ตั้งครรภ์ ให้รอจนกว่านางจะคลอดเสียก่อน พร้อมกับให้เวลานางในการให้นมลูกของนางเป็นเวลา 2 ปี

และในการลงโทษด้วยการเฆี่ยนนั้นต้องไม่กระทำในเวลาที่ร้อนจัดหรือเย็นจัด, ขณะป่วย หรือขณะมีเลือดนิฟาสหรือมีการตั้งครรภ์ ทั้งนี้เพราะการเฆี่ยนมีเป้าหมายเพื่อการปรามและทำให้หลาบจำมิใช่ทำให้ถึงแก่ชีวิต

read more "กฎหมายอิสลามเบื้องต้น : กฎหมายอาญาว่าด้วยเรื่องการผิดประเวณี (ล่วงละเมิดทางเพศ)"

วันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

มหัศจรรย์กระดูกก้นกบ (Coccyx)

มหัศจรรย์กระดูกก้นกบ (Coccyx)


ตั้งแต่มนุษย์คู่แรกได้ถูกสร้างขึ้นโดยการสืบเชื่อสายเผ่าพันธุ์จนมาถึงยุคสมัยของเรา และจะสืบเชื่อสายไปจนถึงวันสิ้นโลก ด้วยขบวนการการผสมพันธุ์อย่างเป็นขั้นเป็นตอน และขั้นตอนเหล่านี้จะถูกใช้กับลูกหลานอาดัมทั้งหมด เพราะพวกเขาอยู่ในกระดูกสันหลังของพ่อคนแรกของพวกเขาในขณะที่พ่อของพวกเขาได้ถูกสร้างขึ้น

พระมหาคัมภีร์อัลกรุอาน ได้สรุปขั้นตอนทั้งหมดนี้ไว้ใน คำตรัสของพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.ล.) ที่ว่า :


وَاللهُ أَنْبَتَكُمْ مِنَ الأرْضِ نَبَاتًا * ثُمَّ يَعِيْدُكُمْ فِيْهَا وَيُخْرِجُكُمْ إِخْرَاجاً


ความว่า: “และอัลลอฮฺทรงบังเกิดพวกเจ้าจากแผ่นดินเฉกเช่นพืชผัก หลังจากนั้นพระองค์ทรงให้พวกเจ้ากลับคืนสู่ในแผ่นดินและจะทรงให้พวกเจ้าออกมาอีกเพื่อคืนชีพ” (นูฮฺ: 17-18)


นี้คือความมหัศจรรย์ที่มนุษย์ไม่สามารถที่จะรู้ได้ในยุคที่พระมหาคัมภีร์อัลกุรอานถูกประทานลงมาและในตลอดระยะเวลาที่ยาวนานหลังจากดังกล่าว

ในช่วงแรกจากคำตรัสของอัลลอฮฺ (ซ.ล.) ที่ว่า


والله أنبتكم من الأرض نباتا


ความว่า: “และอัลเลาะฮฺทรงบังเกิดพวกเจ้าจากแผ่นดินเฉกเช่นพืชผัก


ในโองการนี้พระองค์ได้โต้ตอบกับบรรดามนุษย์ ซึ่งร่างกายของพวกเขาจะเจริญเติบโตได้ด้วยกับแร่ธาตุในดินโดยทางอ้อมจากผลิตผลที่ได้จากพืชผักที่มาจากดิน ซึ่งพืชผักเหล่านี้ได้ดูดซับแร่ธาตุต่างๆ จากดิน และดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ และแปลสภาพองค์ประกอบเหล่านี้ให้เป็นอาหารแก่มนุษย์และสัตว์ นั้นก็คือพืชผักและก๊าซออกซิเจนซึ่งต้นไม้ได้ปล่อยสู่อากาศเพื่อให้มนุษย์และสัตว์ได้ใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ไปจนถึงเวลาที่ต้องจากโลกนี้ไป

ในช่วงสองจากคำตรัสของอัลลอฮฺ (ซ.ล.) ที่ว่า


ثم يعيدكم فيها ويخرجكم إخراجا


ความว่า: “หลังจากนั้นพระองค์ทรงให้พวกเจ้ากลับคืนสู่ในแผ่นดิน และจะทรงให้พวกเจ้าออกมาอีกเพื่อคืนชีพ


เราท่านทั้งหลายจะต้องกับคืนสู่แผ่นดินอย่างแน่นอนหลังจากตายไปแล้ว ทุกๆ ชีวิตย่อมพบกับความตายและไม่มีผู้ใดที่จะหนีความตายพ้น ซึ่งตรงกับคำตรัสของอัลลอฮฺ (ซ.ล.) ที่ว่า


كل نفس ذائقة الموت ثم إلينا ترجعون


ความว่า: “ทุกๆ ชีวิตเป็นผู้ลิ่มรสความตาย แล้วพวกเจ้าจะถูกนำกลับยังเรา” (อัลอังกาบูต: 57)


หลังจากตายไปแล้ว มนุษย์ทั้งหมดจะต้องฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งเพื่อคิดบันชีจากสิ่งที่พวกเขาได้กระทำในตอนที่อยู่ในโลกดุนยานี้

แน่นอนบรรดาผู้ปฏิเสธการฟื้นคืนชีพต่างสงสัยว่า จริงหรือที่เราจะฟื้นคืนชีพอีกครั้งหลังจากที่ตายไปแล้ว? แต่ถ้าเรามองจากจุดเล็กๆ ซึ่งคนส่วนใหญ่คาดไม่ถึงว่า ชีวิตหรือร่างกายคนเรามีการตายและการเกิดใหม่อยู่ทุกวินาที ในร่างกายคนเราประกอบด้วยเซลล์ต่างๆ ซึ่งเซลล์เหล่านี้จะมีการตายและเกิดใหม่อยู่ทุกวินาที สิ่งต่างๆ ที่เราไม่คาดคิดยังมีอยู่อีกมากมาย ไฉนเล่าการเกิดใหม่ในภพหน้าจะมีขึ้นไม่ได้ นี้คือหลักฐานทางด้านสติปัญญาที่ไม่สามารถจะปฏิเสธได้ ยังมีเรื่องราวที่น่าประหลาดใจและซับซ้อนที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่พระมหาคัมภีร์อัลกุรอานอันศักดิ์สิทธิ์และอัลฮาดีษได้บอกให้เราได้รู้ล่วงหน้าไว้แล้วว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น

เราขอโต้บรรดาผู้ปฏิเสธการฟื้นคืนชีพด้วยกับคำกล่าวของท่านร่อซูล (ซ.ล.)ซึ่งรายงานมาจากท่านอบีฮูรอยเราะฮฺที่ว่า


عن أبي هريرة (رضي الله تعالى عنه) أن رسول الله صلى الله عليه وسلم قال ((كل ابن آدم يأكله التراب إلا عجب الذنب منه خلق وفيه يركب)) رواه مسلم في صحيحه


ความว่า:รายงานจากท่านอบีฮูรอยเราะฮฺ (ร.ฎ.) ว่าท่านร่อซุ้ลุล้ลลอฮฺ (ซ.ล.) กล่าวว่า :

ดินจะกัดกินลูกหลานอาดัม (มนุษย์) ทุกคน เว้นไว้แต่เพียงกระดูกก้นกบ ซึ่งจากมันนี้เองลูกหลานอาดัม (มนุษย์) จะถูกสร้างมาอีกครั้ง และในมันนี้เองลูกหลานอาดัม (มนุษย์) จะถูกประกอบขึ้นมาอีกครั้ง


และได้มีคำรายงานจากท่านอบีซอีดอัลคุดรีย์ (ร.ฎ.) ว่า


عن أبى سعيد الخدرى (رضي الله عنه) أن رسول الله (صلى الله عليه وسلم) قال: ((يأكل التراب كل شيئ من الإنسان إلا عجب ذنبه)) قيل:وماهو؟ يا رسول الله قال:((مثل حبة خردل منه ينشأ))


ความว่า: รายงานจากท่านอบีซอีดอัลคุดรียฺ (ร.ฎ.) ว่า ท่านร่อซุ้ลุล้ลลอฮฺ (ซ.ล.) กล่าวว่า : “ดินจะกัดกินทุกๆ ส่วนของมนุษย์นอกจากกระดูกก้นกบ” มีผู้หนึ่งกล่าวขึ้นมาว่า และมันคืออะไร? โอ้ท่านร่อซุ้ลุล้ลลอฮฺ ท่านร่อซุ้ลุล้ลลอฮฺจึงกล่าวว่า “มันเหมือนกับเมล็ดผักกาด ซึ่งจากมันนี้เองจะได้เกิดขึ้นมาอีก


และได้มีคำรายงานจากท่านอบีฮูรอยเราะฮฺอีกว่า


عن أبي هريرة أن رسول الله صلى الله عليه وسلم قال ((ما بين النفختين أربعون .. ثم ينزل الله من السماء ماء فينبتون كما ينبت البقل وليس من الإنسان شيء إلا يبلى إلا عظما واحدا وهو عجب الذنب ومنه يركب الخلق يوم القيامة)) رواه المسلم.


ความว่า: รายงานจากท่านอบีฮูรอยเราะฮฺ (ร.ฎ.) ว่าท่านร่อซุ้ลุล้ลลอฮฺ (ซ.ล.) กล่าวว่า “สิ่งที่อยู่ระหว่างการเป่าสังข์ทั้งสองครั้งคือสี่สิบ .. หลังจากนั้นอัลเลาะฮฺ (ซ.บ.) ก็จะประทานน้ำมาจากฟากฟ้า แล้วพวกเขาก็จะงอกขึ้นมาประดุจดั่งเมล็ดผักที่งอกเงย และทุกๆ ส่วนจาก (ร่างกาย) มนุษย์จะศูนย์สลายนอกจากกระดูกชิ้นหนึ่งชิ้นเดียวนั้นก็คือปลายกระดูกก้นกบ และจากมันนี้เองการสร้าง (มนุษย์) จะถูกประกอบขึ้นอีกครั้งในวันฟื้นคืนชีพ”


ความหมายของสี่สิบยังไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า สี่สิบวัน สี่สิบเดือนหรือสี่สิบปี ซึ่งบรรดาอัครสาวกของท่านร่อซุ้ลุล้ลลอฮฺ (ซ.ล.) ได้กล่าวกับท่านอบีฮูรอยเราะฮฺว่า สี่สิบวัน สี่สิบเดือนหรือสี่สิบปี ท่านอบีฮูรอยเราะห์จึงกล่าวว่า ฉันปฏิเสธการที่ฉันจะถือว่ามันคือสี่สิบวันสี่สิบเดือนหรือสี่สิบปี แต่ฉันถือว่ามันคือสี่สิบ และท่านอีหม่ามนาวาวีได้ให้ความเห็นว่าสี่สิบนี้คือสี่สิบปี

จากพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานและอัลฮาดีษที่กล่าวมาข้างต้นนี้ได้ชี้ชัดว่าเรือนร่างคนเราทุกๆ คนจะต้องสูญสลายโดยไม่มีการยกเว้นให้กับคนใด นอกจากทุกๆ บรรดานบี บรรดาผู้มรณะสักขีและบรรดาผู้เรียกร้องสู่การละหมาด

และมีคำพูดอีกมากมายซึ่งกล่าวถึงกระดูกก้นกบได้ประมวลข้อเท็จจริงทางด้านวิทยาศาสตร์ซึ่งไม่มีมนุษย์ผู้ใดล่วงรู้ถึงข้อแท้จริงนี้ จนมาถึงในต้นศตวรรษที่ 20 นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันนามว่า Hans Spemann และเหล่าเพื่อนร่วมงานของเขาได้ทำการวิจัยกันถึงเรื่องกระดูกก้นกบนี้ และมันเป็นสิ่งที่ทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบิลสาขาวิทยาศาสตร์ในปีค.ศ.1935 จากการค้นพบThe primary Organizer และยืนยันการทำงานของมันในการสร้างทุกส่วนจากเซลล์ เนื้อเยื่อ อวัยวะและระบบของร่างกายทั้งหมดโดยเริ่มค้นคว้าจากกระดูกก้นกบของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ

ผลจากการค้นคว้าวิจัยที่สำคัญดังกล่าวมีดังต่อไปนี้

1. ทุกๆ ส่วนจาก The Primitive Streak (การเริ่มต้นแบบเส้นด้าย) และ The Primitive Node (การเริ่มต้นแบบปม) ซึ่ง The Primitive Streak จะแบกรับ The Primitive Node เอาไว้ที่ท้ายของมัน และทั้งสองนี้จะถูกพบอยู่บนชั้นของไข่ที่ผสมแล้ว ซึ่งทั้งสองมีหน้าที่สร้างส่วนต่างๆ ของทารก เพราะเหตุนี้นาย Hans Spemann จึงเรียกทั้งสองว่า The primary Organizer (ผู้มีหน้าที่จัดการเบื้องต้น)

2. The primary Organizer (ผู้มีหน้าที่จัดการเบื้องต้น) จะถูกถอดถอนไปยังปลายของกระดูกก้นกบหลังจากที่ส่วนต่างๆ ของร่างกายถูกสร้างอย่างครบถ้วนแล้ว (ซึ่งทารกจะถูกสร้างอย่างครบถ้วนในช่วงท้ายของสัปดาห์ที่ 4 จากอายุของมัน)

3. กระดูกข้อสุดท้ายของกระดูกสันหลังนั้นก็คือกระดูกก้นกบ (Coccyx) มันจะไม่มีวันสูญสลายอย่างแน่นอน ซึ่งนาย Hans Spemann และเพื่อนร่วมงานของเขาได้ทำการตัดเอาส่วนของ The Primitive Streak และ The Primitive Node จากสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำหลายชนิด แล้วนำไปฝังในตัวทารกที่อยู่ในท้องของพวกมัน แล้วส่วนที่นำไปฝังนี้ ก็มีการเจริญเติบโตในรูปของทารกอีกตัวหนึ่งซึ่งแตกต่างจากทารกตัวแรก

ต่อมานาย Hans Spemann และเพื่อนร่วมงานของเขาได้ทำการทำลายส่วนที่มีชื่อว่า The primary Organizer แล้วนำไปฝังไว้ในตัวทารก แล้วส่วนที่นำไปฝังก็มีการเจริญเติบโตในรูปของทารกอีกตัวหนึ่งเช่นเดียวกับการทดลองครั้งแรก การทดลองในครั้งนี้เป็นสิ่งยืนยันได้ว่าเซลล์ต่างๆ ของ The primary Organizer ไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อกระบวนการการทำลาย หลังจากนั้นพวกเขาก็ทำการทดลองโดยนำเอาส่วน The primary Organizer ที่ได้จากสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำมาทำการต้มอยู่หลายชั่วโมง ผลทดลองก็เป็นอย่างเคย หลังจากการทดลองของนายHans Spemann ผ่านไป 69 ปีในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2003 ดร.อุซมานญีลานชาวเยเมนได้ทำการทดลองโดยการนำเอากระดูกสันหลังที่มีกระดูกก้นกบ 5 ชิ้นของแกะมาทำการเผ่าด้วยปืนไฟถึง 10 นาทีจนกลายเป็นเถ้าถ่าน แล้วนำเอาขี้เถ้ามาให้ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อเยื่อวิจัยในมหาวิทยาลัยซอนอาอฺ จนเป็นที่ชัดเจนได้ว่าเซลล์ต่างๆ ของกระดูกก้นกบยังคงมีชีวิตและไม่มีร่องรอยการการเผ่าทั้งๆ ที่กล้ามเนื้อ เยื่อไขมัน เซลล์ของไขกระดูกที่มีอยู่ในกระดูกสันหลังและสิ่งที่อยู่รอบๆ ถูกเผ่าจนเกลี้ยง แต่เซลล์ของกระดูกก้นกบไม่มีร่องรอยของการเผ่าเลย

กระดูกก้นกบของมนุษย์

การนำเอาผลทดลองของนาย Hans Spemann และสิ่งที่เขาได้ศึกษามาใช้กับมนุษย์ได้เผยชัดแก่วิชาว่าด้วยการกำเนิดดังต่อไปนี้

1. ตัวสเปิมร์ที่ปฏิสนธิแล้วจะประกอบขึ้นเพียงแค่ไข่ของผู้หญิงไปผสมกับตัวอสุจิของผู้ชาย

2. สเปิมร์ที่มีการปฏิสนธิแล้วนี้จะเริ่มแบ่งเป็นเซลล์เล็กๆและเล็กลงเรื่อยๆซึ่งจะเรียกการแบ่งนี้ว่า Blastomeres หลังจาก 4 วันผ่านไป ตัวสเปิมร์จะเปลี่ยนเป็นเซลล์ก้อนกลมๆ คล้ายผลหม่อนซึ่งจะถูกเรียกว่า Morula

3. ในวันที่ 5 Morula จะแบ่งเป็นสองส่วนเท่าๆ กันซึ่งมีส่วนประกอบที่เรียกว่า Blastocyst ซึ่งมันจะเริ่มที่จะฝังเข้าไปในผนังมดลูกในวันที่ 6โดยผ่านเซลล์เชื่อมต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาจากมัน และเซลล์ Morula จะเกาะติดด้วยกับเซลล์เชื่อมเหล่านี้กับผนังมดลูก ซึ่งเซล ล์Morula จะเปลี่ยนเป็นก้อนเลือด และเซลล์เชื่อมจะเปลี่ยนเป็นรก

4. ประมาณวันที่ 15 จากอายุของสเปิมร์ที่ปฏิสนธิแล้ว กลุ่มของเซลล์ชั้นสูงของยีน (Gene) ที่เป็นกลุ่มก้อนจะเริ่มพัฒนาเป็นรูปของเส้นยาวซึ่งถูกเรียกว่า the primary or Primitive Streak

และด้วยความยาวของ The Primitive Streak ปลายสุดของมันที่อยู่ด้านหน้าจะมีขนาดใหญ่ ซึ่งมีลักษณะที่ถูกเรียกว่า The Primitive knot or Node และในเวลาเดียวกันมันจะประกอบไปด้วย A Narrow Primitive Groove ซึ่งมันจะผ่านไปยังหลุมที่ตื้นใน The Primitive Node หลุมนี้จะถูกเรียกว่า The Primitive Pit

5. ในวันที่ 16 จากอายุของสเปิมร์ที่ปฏิสนธิแล้ว เซลล์ชั้นกลางจะเริ่มปรากฏขึ้น (The Intraembryonic Mesoderm) ระหว่างเยื่อชั้นภายนอกของทารก (The Embryonic Ectoderm) และเยื่อชั้นภายในของทารก (The Embryonic Endoderm) และอัลลอฮฺได้ให้เซลล์ชั้นกลางนี้สามารถแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วและแบ่งไปเป็นเซลล์ชนิดต่างๆ และให้มันแยกย้ายไปเพื่อทำการสร้างเนื้อเยื่อ อวัยวะและส่วนต่างๆ ของร่างกาย และส่วนหนึ่งจากการแบ่งเป็นชนิดต่างๆ ของเซลล์เหล่านี้ก็คือการที่มันเคลื่อนไหวจาก The Primitive Node เพื่อทำการสร้างจุดเริ่มของเส้นกระดูกสันหลัง (Notochordal Process) ซึ่งระบบประสาทจะเกิดขึ้นมาจากมันโดยการแตกแขนงของมัน หลังจากนั้นเซลล์เหล่านี้ (เซลล์ที่มีการแบ่งไปเป็นเซลล์ชนิดอื่นๆ) จะเคลื่อนไหวเพื่อทำการสร้างอวัยวะที่เหลือ และ The Primitive Streak จะคงมีการกระตุ้นอยู่ตลอดเวลาในการสร้างเซลล์ชั้นกลาง (The Intraembryonic Mesodrmal Cells) จนกระทั่งสิ้นสุดสัปดาห์ที่ 4 จากอายุของทารกโดยประมาณ หลังจากนั้นเซลล์เหล่านี้เริ่มที่จะขับออกมาอย่างเรื่อยๆ และ The Primitive Streak ลดขนาดลงอย่างรวดเร็วจนมีขนาดเล็กจนเกือบที่จะไม่เห็นและจะถูกถอนไปยังเขตของกระดูกก้นกบของทารก (The Sacrococcygeal Region of the Embryo)

และบรรดานักวิทยาศาสตร์ก็ได้รู้ว่า แท้จริงอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งมวลได้ประทานความสามารถให้แก่เซลล์ The Primitive Streak เหนือชั้นต่อขบวนการสร้าง

ดังกล่าวนี้จะชี้ชัดให้เห็นข้อเท็จจริงว่า เซลล์ที่มีคุณลักษณะเฉพาะนี้เมื่อมันไปกระทบกับแสง มันจะเจริญเติบโตในรูปลักษณะของการบวมอย่างมาก และจะเรียกลักษณะการบวมนี้ว่า (Teratoma) ซึ่งมันประกอบไปด้วยเนื้อเยื่อต่างๆ และในบางทีก็ประกอบด้วยอวัยวะต่างๆ

จากเรื่องดังกล่าวนี้ อัลลอฮฺ( ซ.บ.) ทรงตรัสไว้ ว่า


وأنَّ عَلَيْهِ النَشْأَةَ الأُخْرَى


ความว่า: “และแท้จริง เป็นหน้าที่ของพระองค์ที่จะให้เกิดอีกครั้งหนึ่ง” (อันนัจมฺ:47)


ความล้ำหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน และอัลฮาดีษอันทรงเกียรติทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งที่ชี้ขาดว่าอัลกุรอานไม่สามารถที่จะสร้างมนุษย์ได้ แต่มันคือคำตรัสของอัลลอฮฺ (ซุบฮาฯ) ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งมวลผู้ทรงประทานมันมาด้วยกับความรู้ให้แก่ร่อซุ้ลุล้ลลอฮฺ (ซ.ล.) และพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ยังเป็นผู้ทรงปกปักรักษามันไว้ทุกถ้อยคำทุกอักษรมาเป็นระยะเวลามากกว่า 14 ศตวรรษจวบจนกระทั้งถึงวันแห่งการฟื้นคืนชีพด้วยกับสัญญาของพระองค์เอง และความล้ำหน้าทางวิทยาศาสตร์นี้ยังชี้ให้เห็นว่านายของเรามูฮัมหมัด (ศ็อลฯ) เป็นผู้บอกข่าวดีแก่ผู้ปฏิบัติตาม และเป็นผู้บอกข่าวร้ายแก่ผู้ปฏิเสธทั้งมวล และเป็นศาสนทูตของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) อย่างแท้จริง

แปลและเรียบเรียงโดย: อะห์หมัด มุสตอฟา (รังสิมันตุ์) โต๊ะลง


#God_Islamic_Society_Online
#ปาฏิหาริย์แห่งอิสลาม_Islamic_Society_Online
#มหัศจรรย์อัลกรุอาน_Islamic_Society_Online
Islamic Society Online



read more "มหัศจรรย์กระดูกก้นกบ (Coccyx)"

วันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ขณะที่อิสลามกำลังผ่านพันปีแรก ยุโรปก็กำลังสลัดอิทธิพลของคริสตศาสนา

ขณะที่อิสลามกำลังผ่านพันปีแรก ยุโรปก็กำลังสลัดอิทธิพลของคริสตศาสนา


แผนที่ยุโรปช่วงปี 1700 ตรงกับยุคสมัยการเปลี่ยนแปลงในบทความ จะเห็นจักรวรรดิออตโตมันตรึงพื้นที่กว้างในยุโรปตะวันออก

เมื่อตะวันตกสลัดความเป็นโรมันแบบดั้งเดิม มาสู่การเป็นดินแดนคริสตจักร (Christendom) หรือโลกแบบคริสตศาสนา ซึ่งทำให้คริสตศาสนากลายเป็นศาสนาหลักของตะวันตกมายาวนานถึงวันนี้เกือบสองพันปี แต่โดยความจริงความเป็นโลกแบบคริสตศาสนา ก็ยุติลงเมื่อจักวรรดิโรมันตะวันออกหรือไบเซนไตน์ถูกพิชิตโดยมุฮัมมัด อัลฟาติหฺ ในปี คศ. 1453 (ฮ.ศ. 856) ซึ่งบางคนถือว่าได้เปลี่ยนไปสู่ตะวันตกที่สร้างขึ้นในแบบใหม่ เป็นรัฐชาตินิยม ที่เริ่มต้นด้วยการแสดงอำนาจแบบจักวรรดิและพัฒนาการทางความคิด ปรัชญา และศาสตร์ต่างๆ ไปอย่างที่ไม่มีอารยธรรมไหนเทียบเคียงได้ ขณะที่คริตศาสนาได้ลดบทบาทลง ไปพร้อมๆ กับกำเนิดนักปรัชญารุ่นใหม่ที่เข้ามามีอิทธิพลแทนที่ ขณะเดียวกันโลกของคาทอลิกถูกแย่งชิงพื้นที่ทางเหนือไปโดยโปรแตสแตนท์

นักปรัชญาที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้วางรากฐานของ ปรัชญายุคใหม่ คือ Rene Descartes (คศ.1596-1650 /ฮ.ศ.1004-1059) นักปรัชญาฝรั่งเศส ผู้เชี่ยวชาญคณิตศาสตร์ เป็นผู้ทรงอิทธิพลมากในการวางฐานวิธีคิดในกระบวนความรู้ของโลกสมัยใหม่ ขณะที่งานของโลกตะวันตกกำลังก้าวไปสู่รากฐานที่มั่นคงยิ่ง ก็ตรงกับยุคที่จักรวรรดิมุสลิมอย่างออตโตมันและโมกุลกำลังขึ้นสู่จุดสูงสุดทางอำนาจเช่นเดียวกัน แต่เป็นอำนาจทางกองทัพมากกว่าความสนใจกระบวนการทางความรู้ใหม่ๆ ขณะเดียวกันที่อังกฤษ นักปรัชญาและนักการเมืองอย่าง Francis Bacon (คศ. 1561 – 1626 / ฮ.ศ. 968-1035) แม้จะไม่ได้ทรงอิทธิพลเท่ากับ Descartes ของฝรั่งเศส แต่มีความสำคัญในฐานะเป็นคนแรกๆ ที่สร้างจินตนาการต่อโลกใหม่ เจ้าของวลีที่แสดงถึงลักษณะของอารยธรรมตะวันตกนั่นคือ “ความรู้คืออำนาจ” (Knowledge is power) เขาพยายามสร้างสิ่งทีเรียกว่า “Scientific Method” หรือกระบวนการเรียนรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์ และพยายามปฏิเสธโลกแบบอภิปรัชญาออกไป

ในอังกฤษนั้นยังมีนักปรัชญาคนสำคัญที่อยู่ร่วมสมัยกับ Francis Bacon และถือว่าเป็นบิดาของปรัชญาวิเคราะห์ (Analytical Philosophy) นั่นคือ Thomas Hobbes (คศ. 1588-1679 /ฮ.ศ. 996-1089) ไม่เพียงแต่เชี่ยวชาญทางปรัชญา แต่พยายามนำมันไปใช้กับมนุษย์และสังคม หลังจาก Hobbes แล้ว ในอังกฤษก็มีนักปรัชญาที่โด่งดังอีกหลายคน หนึ่งในนั้นที่ปฏิเสธความสำคัญไม่ได้คือ John Locke (ค.ศ.1632-1701 /ฮ.ศ.1041-1112) และนักปรัชญาคนอื่นๆ ที่ใช้ภาษาอังกฤษ อย่างนักปรัชญาเชื้อสายไอริช George Berkeley (ค.ศ.1685-1753 /ฮ.ศ. 1096-1166) นักปรัชญาเชื้อสายสก็อตอย่าง David Hume (ค.ศ. 1711-1776 /ฮ.ศ. 1122-1189) ผู้ที่เป็นทั้งนักปรัชญา นักประวัติศาสตร์ และนักเศรษฐศาสตร์

ส่วนในฝรั่งเศสนั้น นอกจาก Rene Descartes แล้ว ก็เต็มไปด้วยนักปรัชญาและนักคิดที่วิพากษ์การเมืองที่โดดเด่นอีกหลายท่าน อย่างผู้ที่ถือว่าเป็นนักปรัชญาที่วิพากษ์ระบบทรราชย์และปกป้องปัจเจชนนิยมอย่างยิ่งคือ Francois-Marie Voltaire (ค.ศ. 1694-1778/ฮ.ศ. 1105-1191) และนักคิดที่ร่วมสมัยกับเขาและโด่งดังมากคือ Jean-Jacques Rousseau (ค.ศ. 1712-1778/ฮ.ศ.1123-1191) ซึ่งมีอิทธิพลอย่างสูงต่อคณะผู้ก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกาในเวลานั้น

นักคิดคนสำคัญไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในฝรั่งเศสและอังกฤษเท่านั้น ในเยอรมันก็ปรากฏขึ้นไม่น้อย ไม่ว่าคนอย่าง Gottfried Wilhelm Leibnitz (ค.ศ.1646 - 1716/ฮ.ศ. 1055-1128) Immanuel Kant (ค.ศ.1724-1806 /ฮ.ศ.1136-1220) ซึ่งล้วนแต่เป็นนักปรัชญาที่ทรงอิทธิพลในแง่มุมต่างๆ ของยุโรปยุคใหม่ ดังนั้น นักคิด นักปรัชญา ที่สร้างรูปแบบใหม่ของยุโรปเหล่านี้ ทั้งในด้านวิทยาศาสตร์ สังคม และการเมือง มีความคึกคักเป็นพิเศษในฝรั่งเศส อังกฤษ และเยอรมัน แต่กระนั้นก็ยังมีในส่วนอื่นๆ ของยุโรป เช่นที่อัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ Benedict Spinoza (ค.ศ.1632-1677 /ฮ.ศ.1041-1087) ที่ได้เขียนงานชื่อว่า Ethics ซึ่งถือว่าเป็นงานเขียนหลักชิ้นหนึ่งของปรัชญาตะวันตกสมัยใหม่ นักปรัชญาเหล่านี้ ปรากฏขึ้นมาหลังจากการขยับถอยไปของอิทธิพลคริสตศาสนา (Christendom) และได้กลายมาเป็นผู้วางรากฐานที่ทรงอิทธิพลให้แก่โลกตะวันตกยุคใหม่ อันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่โลกอิสลามกำลังเข็มแข็งด้วยกำลังทหารของจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่อย่างออโตมานและโมกุล และกำลังขยายตัวออกไปยังหลายพี้นที่ เช่นในโลกมาเลย์และแอฟริกาตะวันตก

โลกมุสลิมช่วงนี้มีปราชญ์ที่เป็นผู้รู้ที่ทำการอิจญติฮาดน้อยกว่ายุคใดๆ แต่ในจำนวนที่น้อยนี้ปรากฏบุคคลที่ควรถือว่าโดดเด่นระดับภูมิภาคอย่างหยั่งรากลึกหลายคน อย่างชาฮฺวาลียุลลอฮฺ อัดดะฮฺลาวียฺ (ค.ศ. 1703–1762 /ฮ.ศ. 1114-1175) เชค มุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮฮาบฺ (ค.ศ. 1703 –1792 /ฮ.ศ. 1114-1206) , เชค มุฮัมมัด อัชเชากานียฺ (ค.ศ.1759–1839 /ฮ.ศ. 1172- 1254), เชค อุษมาน บินฟูฏียฺ (ค.ศ. 1754 – 1817 /ฮ.ศ. 1157-1234) ที่กระจายตามภูมิภาคต่างๆ พวกเขาเป็นนักฟื้นฟูที่พยายามอิจญติฮาด (ตีความตัวบทใหม่) ที่ทรงอิทธิพลต่อยุคสมัย และยังคงมีอิทธิพลมาถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม กระแสการขึ้นมาของโลกตะวันตก การไม่มีพัฒนาการทางวิทยาศาสตร์และความอ่อนแอของอำนาจทางการเมืองของโลกอิสลาม ก็ไม่สามารถหยุดยั้งอำนาจของโลกตะวันตกที่กำลังขึ้นสู่จุดสูงสุดหลังจากการปฏิวัติฝรั่งเศส (คศ. 1789/ฮ.ศ. 1203) และการสถาปนาประเทศใหม่อย่างสหรัฐอเมริกา (ค.ศ.1776 /ฮ.ศ. 1189) ได้เลย นั่นคือการเปิดศักราชใหม่ของโลกตะวันตกที่เป็นใหญ่เพียงหนึ่งเดียว และเป็นจุดตกต่ำลงที่สุดของโลกอิสลามเช่นเดียวกัน

แหล่งที่มา : เพจ Tarikh - ประวัติศาสตร์

#ประวัติศาสตร์อิสลาม_Islamic_Society_Online
#ประชาชาติอิสลาม_Islamic_Society_Online
Islamic Society Online



read more "ขณะที่อิสลามกำลังผ่านพันปีแรก ยุโรปก็กำลังสลัดอิทธิพลของคริสตศาสนา"

วันอาทิตย์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

องค์ประกอบหลัก ทั้ง 2 คุฏบะฮฺ ในการละหมาดวันศุกร์

องค์ประกอบหลัก (อัรฺกาน) ของการแสดงธรรม (คุฏบะฮฺ) ทั้ง 2 คุฏบะฮฺ ในการละหมาดวันศุกร์

(อาลี เสือสมิง)



การแสดงธรรม (คุฏบะฮฺ) ในวันศุกร์มีองค์ประกอบหลัก (อัรฺกาน) ทั้ง 2 คุฏบะฮฺ 5 ประการ โดย 3 ประการแรกนักวิชาการสังกัดมัซฮับอัช-ชาฟิอียฺ มีความเห็นพ้องตรงกัน และอีก 2 ประการนักวิชาการมีความเห็นต่างกันว่าเป็นองค์ประกอบหลัก (อัรฺกาน) หรือไม่ ดังรายละเอียดต่อไปนี้

1.การสรรเสริญพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) โดยกำหนดเจาะจงถ้อยคำที่มีรากศัพท์มาจากคำว่า อัล-หัมดุ้ (الحَمْدُ) เป็นการเฉพาะ และคำที่มีความหมายคล้ายกับคำว่า อัล-หัมดุ (อัช-ชุกรุ้-อัล-มัดหุ้อัษ/ษะนาอฺ) จะไม่ถูกนำมาแทนที่ถ้อยคำที่มีรากศัพท์มาจากคำว่า “อัล-หัมดุ้” โดยการเห็นพ้องของนักวิชาการสังกัดมัซฮับอัช-ชาฟิอียฺ และส่วนที่น้อยที่สุดคือ อัล-หัมดุลิลลาฮฺ” (الحمد لله) (กิตาบอัล-มัจญมูอฺ ชัรฺหุลมุฮัซซับ, อัน-นะวาวียฺ 4/388) ซึ่งตามนี้ อิมามอะหฺมัด (เราะฮิมะฮุ้ลลอฮฺ) กล่าวเอาไว้

ส่วนอัล-เอาวฺซาอียฺ, อิสหาก, อบูเษาริน, อิบนุ อัล-กอสิม อัล-มาลิกียฺ, อบูยูสุฟ, มุฮัมมัด และดาวูด (เราะฮิมะฮุมุ้ลลอฮฺ) กล่าวว่า “สิ่งที่จำเป็น (วาญิบ) คือสิ่งที่ชื่อเรียกของการแสดงธรรม (คุฏบะฮฺ) จะเกิดขึ้นบนสิ่งนั้น (หมายถึง การใช้ถ้อยคำใดๆ ก็ตามที่เมื่อถูกกล่าวแล้วเรียกว่า เป็นการแสดงธรรมก็ถือว่าใช้ได้) อิมาม อบูหะนีฟะฮฺ (เราะฮิมะฮุ้ลลอฮฺ) กล่าวว่า “เพียงพอในการที่ผู้แสดงธรรม (เคาะฏีบ) จะกล่าวว่า “สุบหานัลลอฮฺ” (سُبْحانَ اللهِ) หรือ บิสมิลลาฮฺ” (بسم اللهِ) หรือ “อัลลอฮุ อักบัร” (اللهُ أكبَرُ) หรือถ้อยคำในการซิกรุลลอฮฺที่คล้ายๆ กัน ส่วน อิบนุ อับดิลหะกัม อัล-มาลิกียฺ กล่าวว่า “หากผู้แสดงธรรมกล่าว ตะฮฺลีล (لا إلٰهَ إلاّ اللهُ) หรือกล่าว ตัสบีหฺ (سُبْحانَ اللهِ) ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว (อ้างแล้ว 4/392)

2.การกล่าวเศาะละวาตฺแก่ท่านนบีมุฮัมมัด (ซ.ล.) และการใช้ถ้อยคำที่มีรากศัพท์มาจากคำว่า อัศ-เศาะลาฮฺ (الصلاة) นั้นถูกเจาะจงเป็นการเฉพาะ อิมาม อัล-หะเราะมัยนฺ (เราะฮิมะฮุ้ลลอฮฺ) ได้ระบุถึงคำกล่าวของนักวิชาการสังกัดมัซฮับอัช-ชาฟิอียฺบางคนซึ่งเป็นคำกล่าวที่ก่อให้เกิดความคลุมเครือว่า คำที่มีรากศัพท์มาจากคำว่า อัล-หัมดุ้ (الحمد) และ คำว่า อัศ-เศาะลาฮฺ (الصلاة) ไม่ถูกเจาะจงเป็นการเฉพาะ แต่อิมามอัล-หะเราะมัยนฺ (เราะฮิมะฮุ้ลลอฮฺ) ก็มิได้ถ่ายทอดประเด็นที่ถูกชี้ขาดตามคำกล่าวนั้นแต่อย่างใด สิ่งที่บรรดานักวิชาการสังกัดมัซฮับอัช-ชาฟิอียฺ ชี้ขาดเอาไว้ก็คือทั้งสองคำนั้นเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดเจาะจงเป็นการเฉพาะ (กิตาบ อัล-มัจญมูอฺ ชัรฺหุลมุฮัซซับ, อัน-นะวาวียฺ เล่มที่ 4 หน้า 388)

ทั้งนี้ในการกล่าวเศาะละวาตนั้นมีเงื่อนไขว่าผู้แสดงธรรมต้องกล่าวนามชื่อของท่านนบี (ซ.ล.) อย่างชัดเจน เช่น อัน-นะบียฺ (النبيُّ) หรือ อัร-เราะสูล (الرسولُ) หรือ มุฮัมมัด (محمد) เป็นต้น ดังนั้นการกล่าวสรรพนาม (เฎาะมีรฺ) แทนจากนามชื่อของท่านนบี (ซ.ล.) ที่ชัดเจนนั้นถือว่าไม่เพียงพอ (อัล-ฟิกฮุลมันฮะญียฺ เล่มที่ 1 หน้า 206)

3.การกำชับสั่งสอน (อัล-วะศียะฮฺ) ให้มีความยำเกรง (ตักวา) ต่อพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ส่วนการใช้ถ้อยคำที่มีรากศัพท์มาจากคำว่า อัล-วะศียะฮฺ (الوصية) จะถูกเจาะจงเป็นการเฉพาะหรือไม่นั้น กรณีนี้ในมัซฮับอัช-ชาฟิอียฺ มี 2 ประเด็น ประเด็นที่ถูกต้องซึ่งมีตัวบทของอิมาม อัช-ชาฟิอียฺ (เราะฮิมะฮุ้ลลอฮฺ) ระบุเอาไว้และบรรดาสานุศิษย์ของท่านตลอดจนบรรดาปวงปราชญ์ในมัซฮับชี้ขาดเอาไว้คือ

ไม่ถือว่าจะต้องเจาะจงเป็นการเฉพาะ หากแต่การตักเตือนชี้แนะ (อัล-วะอฺซ์) ด้วยสำนวนหรือถ้อยคำใดๆ ก็ได้มาแทนที่การกำชับสั่งสอน (อัล-วะศียะฮฺ) นั้นก็ย่อมถือว่าใช้ได้แล้ว

ส่วนประเด็นที่สอง อัล-กอฎียฺ หุสัยนฺ และอัล-บะเฆาะวียฺตลอดจนนักวิชาการท่านอื่นๆ จากชาวเมืองคุรอสานเล่าเอาไว้ว่า การใช้ถ้อยคำที่มีรากศัพท์มาจากคำว่า “อัล-วะศียะฮฺ” (الوصية) เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดเจาะจงเป็นการเฉพาะเช่นเดียวกับคำว่า “อัล-หัมดุ้” และคำว่า “อัศ-เศาะลาฮฺ” ซึ่งอิมามอัน-นะวาวียฺ (เราะฮิมะฮุ้ลลอฮฺ) ระบุว่า ประเด็นที่สองนี้อ่อน (เฎาะอีฟ) หรือเป็นโมฆะ (บาฎิลฺ) เพราะถ้อยคำ “อัล-หัมดุ้” และ อัศ-เศาะลาฮฺ” นั้นเราใช้ในการประกอบอิบาดะฮฺ (ศาสนกิจ) ในหลายกรณี ส่วนคำว่า “อัล-วะศียะฮฺ” นั้นไม่มีตัวบทระบุเป็นคำสั่งและเจาะจงให้ใช้คำๆ นี้แต่อย่างใด (กิตาบ อัล-มัจญ์มูอฺ ชัรฺหุลมุฮัซซับ, อัน-นะวาวียฮ เล่มที่ 4 หน้า 388)

อิมามอัล-หะเราะมัยน (เราะฮิมะฮุ้ลลอฮฺ) กล่าวว่า : และไม่มีข้อขัดแย้งในกรณีที่ว่า แท้จริงการเตือนให้ระวังจากการหลงยึดติดกับโลกดุนยาและสิ่งประดับอันสวยงามของโลกดุนยานั้นถือว่าไม่เพียงพอ เพราะสิ่งดังกล่าวนั้นบรรดาผู้ที่ปฏิเสธหลักนิติธรรม (ชะรีอะฮฺ) ก็มักจะกำชับและสั่งสอนกันในเรื่องนี้ ทว่าจำเป็นที่จะต้องมีการปลุกเร้าให้ทำการภักดีต่อพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) และห้ามปราม ทัดทานจากการประพฤติสิ่งที่ฝ่าฝืนบัญญัติของศาสนา (อ้างแล้ว 4/389)

และในการตักเตือนเพื่อให้เกิดอนุสติ (อัล-เมาวฺอิเซาะฮฺ) นั้นไม่จำเป็นว่าจะต้องใช้คำพูดที่ยืดยาว ทว่าหากผู้แสดงธรรมกล่าวว่า : ท่านทั้งหลายจงภักดีเชื่อฟังพระองค์อัลลอฮฺ (اطيعوا الله) ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว ในส่วนของการกล่าวเศาะละหวาตฺนั้นหากผู้แสดงธรรมกล่าวว่า “วัศ-เศาะลาตุ้ อะลันนะบียฺ” (والصلاة على النبى) หรือ วัศ-เศาะลาตุ้ อะลา มุฮัมมัด (والصلاة على محمد) หรือ “วัศ-เศาะลาตุ้ อะลา เราะสูลิลลาฮฺ” (والصلاة على رسول الله) ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว

และถ้าหากผู้แสดงธรรม (เคาะฏีบ) กล่าวว่า “อัล-หัมดุลิรฺเราะหฺมาน” (الحمدللرحمن) หรือ “อัล-หัมดุลิรเราะหฺหีม” (الحمدللرحيم) ย่อมถือว่าไม่พอเพียง เช่นเดียวกับกรณีของผู้ละหมาดที่กล่าวว่า “อัร-เราะหฺมาน อักบัรฺ” (الرحمن أكبر) ในการตักบีเราะหฺตุลอิหฺรอม (ก็ถือว่าใช้ไม่ได้)

อนึ่ง บรรดาองค์ประกอบหลัก (อัรฺ-กาน) ข้างต้นทั้ง 3 ประการนี้ถือเป็นสิ่งจำเป็นในแต่ละคุฏบะฮฺจากการแสดงธรรมทั้ง 2 คุฏบะฮฺนั้นโดยไม่มีข้อขัดแย้งในมัซฮับอัช-ชาฟิอียฺ ยกเว้นมีอยู่ประเด็นหนึ่งที่อิมาม อัร-รอฟิอียฺ (เราะฮิมะฮุ้ลลอฮฺ) เล่าเอาไว้ว่าแท้จริงการกล่าวเศาะละหวาตฺแก่ท่านนบี (ซ.ล.) นั้นเพียงพอในคุฏบะฮฺหนึ่งคุฏบะฮฺใดจากการแสดงธรรม 2 คุฏบะฮฺนั้น ซึ่งประเด็นนี้อิมาม อัน–นะวาวียฺ (เราะฮิมะฮุ้ลลอฮฺ) ระบุว่า เป็นสิ่งที่แหวกแนว (ชาซฺ) และไม่ถูกยอมรับ (มัรฺดู๊ด) (อ้างแล้ว 4/389)

4.การอ่านอายะฮฺหนึ่งจากคัมภีร์ อัล-กุรอานในคุฏบะฮฺหนึ่งของการแสดงธรรม 2 คุฏบะฮฺนั้น ทั้งนี้มีเงื่อนไขว่าอายะฮฺนั้นต้องเป็นที่เข้าใจและมีความหมายชัดเจน ดังนั้นการอ่านอายะฮฺจากบรรดาพยัญชนะโดด (อัล-หุรุฟ อัล-มุกอฏเฏาะอะฮฺ) ในตอนต้นของบรรดาสูเราะฮฺ (เช่น อะลีฟ ลาม มีม) ถือว่าไม่เพียงพอ (อัล-ฟิกฮุล มันฮะญียฺ เล่มที่ 1 หน้า 207) สำหรับองค์ประกอบหลักในข้อนี้ ในมัซฮับอัช-ชาฟิอียฺมี 4 ประเด็น (เอาวฺญุฮฺ) คือ

  1. ประเด็นที่ถูกต้อง (เศาะหิหฺ) ซึ่งมีตัวบทระบุไว้ในตำราอัล-อุมม์ ถือว่าจำเป็นในคุฏบะฮฺหนึ่งของการแสดงธรรม 2 คุฏบะฮฺนั้น ตามที่ผู้แสดงธรรมมีความประสงค์ แต่ส่งเสริมให้อ่านอายะฮฺอัล-กุรอานนั้นในการแสดงธรรมคุฏบะฮฺ แรก ซึ่งการส่งเสริมนี้อิมาม อัช-ชาฟิอียฺ (เราะฮิมะฮุ้ลลอฮฺ) ระบุเป็นตัวบท (นัศฺ) เอาไว้
  2. เป็นประเด็นที่ถูกระบุตัวบท (มันศูศ) ในอัล-บุวัยฏียฺและมุคตะศ็อรฺของอัล- มุซะนียฺว่า จำเป็นในคุฏบะฮฺแรก และใช้ไม่ได้ในการอ่านอายะฮฺ อัล-กุรอานนั้นในคุฏบะฮฺที่สอง
  3. จำเป็นที่จะต้องอ่านอายะฮฺอัล-กุรอานนั้นในการแสดงธรรมทั้ง 2 คุฏบะฮฺ ประเด็นนี้เป็นที่รู้กัน (มัชฮูร) ซึ่ง ชัยคฺ อบูหามิด (เราะฮิมะฮุ้ลลอฮฺ) กล่าวว่า ผิดพลาด
  4. ไม่จำเป็นในการแสดงธรรมคุฏบะฮฺหนึ่งคุฏบะฮฺใดจาก 2 คุฏบะฮฺนั้น ทว่าเป็นสิ่งที่ถูกส่งเสริม (มุสตะหับ) ประเด็นนี้อิมาม อัล-หะเราะมัยนฺ, อิบนุ อัศ-ศ็อบบาฆ, อัช-ชาชียฺ และเจ้าของตำราอัล-บะยาน ถ่ายทอดเป็นคำกล่าวหนึ่ง แต่มัซฮับในหมู่สานุศิษย์ของอิมามอัช-ชาฟิอียฺ (เราะฮิมะฮุ้ลลอฮฺ) คือการอ่านอายะฮฺอัล-กุรอานนั้นจำเป็นในคุฏบะฮฺหนึ่งของการแสดงธรรม 2 คุฏบะฮฺโดยไม่เจาะจงว่าเป็นคุฏบะฮฺใด (กิตาบ อัล-มัจญูมูอฺ ชัรฺหุลมุฮัซซับ เล่มที่ 4 หน้า 389)


อนึ่ง นักวิชาการสังกัดมัซฮับอัช-ชาฟิอียฺเห็นพ้องตรงกันว่า ที่น้อยที่สุดของการอ่านนั้นคือ หนึ่งอายะฮฺไม่ว่าอายะฮฺนั้นจะเป็นคำสัญญาดีหรือคำสัญญาร้ายหรือข้อชี้ขาดหนึ่งหรือเรื่องราว (กิศเศาะฮฺ) หนึ่ง หรืออื่นจากนั้นก็ตาม แต่มีเงื่อนไขว่าต้องเป็นหนึ่งอายะฮฺที่สมบูรณ์และเป็นที่เข้าใจได้ หากผู้แสดงธรรมอ่านประโยคที่ว่า (ثُمَّنَظَرَ) ก็ถือว่าไม่เพียงพอ ถึงแม้ว่าจะถูกนับเป็นหนึ่งอายะฮฺก็ตามโดยไม่มีข้อขัดแย้งในกรณีนี้ (อ้างแล้ว 4/389)

และส่งเสริม (มุสตะหับ) ในการที่ผู้แสดงธรรม (เคาะฏีบ) จะอ่านสูเราะก็อฟ ในการแสดงธรรมของคุฏบะฮฺแรกโดยอ่านสูเราะฮฺนี้ตั้งแต่ต้นจนจบเนื่องจากมีอัล-หะดีษที่เศาะหิหฺในเศาะหิหฺมุสลิมและอื่นๆ ระบุเอาไว้ (อ้างแล้ว 4/389)

ในกรณีที่ผู้แสดงธรรม (เคาะฏีบ) อ่านอายะฮฺที่มีสุนนะฮฺให้ทำการสุหญูด (อัส-สัจญ์ดะฮฺ-อัตติลาวะฮฺ) ก็ให้ผู้แสดงธรรมลงจากมิมบัรฺและทำการสุหญูดหากว่าผู้แสดงธรรมไม่สามารถสุหญูดบนมิมบัรได้ แต่ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่ต้องลงแต่ให้สุหญูดบนมิมบัรนั้น แต่ถ้าหากการสุหญูดบนมิมบัรฺเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้ โดยมิมบัรนั้นสูงและผู้แสดงธรรมก็เคลื่อนไหวเชื่องช้าโดยถ้าหากผู้แสดงธรรมลงมาก็จะเป็นการคั่น (ขาดตอน) ที่นาน (ในความต่อเนื่อง -มุวาลาตฺ- ของการแสดงธรรม) ก็ให้ผู้แสดงธรรมละทิ้งการสุหญูด และไม่ต้องลงมาจากมิมบัร

เพราะมีตัวบทของอิมาม อัช-ชาฟิอียฺ (เราะฮิมะฮุ้ลลอฮฺ) ระบุว่า : “สิ่งที่ฉันถือว่าเป็นเรื่องที่ฉันชอบ (ในกรณีนี้) ก็คือการที่ผู้แสดงธรรมจะต้องไม่ละทิ้งการแสดงธรรมแล้วไปพะวงกับการสุหญูด เพราะการสุหญูด (อัล-สัจญดะฮฺ) เป็นสุนนะฮฺ ดังนั้นผู้แสดงธรรมจะต้องไม่พะวงกับสิ่งที่เป็นสุนนะฮฺจนต้องออกจากการแสดงธรรมซึ่งเป็นฟัรฏู” แต่ถ้าหากผู้แสดงธรรมลงจากมิมบัรฺแล้วทำการสุหญูดแล้วเขาก็กลับขึ้นไปยังมิมบัร (ถ้าหากไม่มีการคั่นที่นาน) ก็ให้ผู้แสดงธรรมทำการแสดงธรรมต่อไปโดยไม่มีข้อขัดแย้ง

แต่ถ้าหากมีการคั่น (ขาดตอน) ที่นานเกิดขึ้น กรณีนี้มี 2 คำกล่าวในมัซฮับซึ่งระบุมาแล้วก่อนหน้านี้ในเรื่องเงื่อนไขของการแสดงธรรม กล่าวคือ คำกล่าวที่ถูกต้องที่สุด (อะเศาะหฺ อัล-เกาวฺลัยนฺ) ใน อัล-ญะดีด คือ ความต่อเนื่อง (มุวาลาตฺ) ระหว่างบรรดาองค์ประกอบหลัก (อัรกาน) ของการแสดงธรรม (คุฏบะฮฺ) นั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น (วาญิบ) เพราะการพลาดความต่อเนื่องจะทำให้เป้าหมายของการตักเตือนชี้แนะ (อัล-วะอฺซ์) บกพร่อง ดังนั้นตามคำกล่าวนี้ก็จำเป็นที่ผู้แสดงธรรมต้องเริ่มทำการแสดงธรรม (คุฏบะฮฺ) ใหม่ตั้งแต่ต้น ส่วนคำกล่าวที่สองนั้นเป็น (อัล-เกาะดีม) คือ ความต่อเนื่อง (มุวาลาตฺ) เป็นสิ่งที่ถูกส่งเสริม (มุสตะหับ) ซึ่งหากถือตามคำกล่าวที่สองนี้ก็ส่งเสริมให้ผู้แสดงธรรมเริ่มทำการแสดงธรรม (คุฏบะฮฺ) ใหม่ตั้งแต่ต้น แต่ถ้าหากแสดงธรรมต่อไปเลย (หลังจากกลับขึ้นสู่มิมบัร) ก็ถือว่าอนุญาต (อ้างแล้ว 4/390)

อนึ่ง หากผู้แสดงธรรม (เคาะฏีบ) อ่านอายะฮฺหนึ่งที่ในอายะฮฺนั้นมีการตักเตือนและชี้นำ (อัล-วะอฺซ์) และผู้แสดงธรรมมีเจตนามุ่งหมาย (ก็อศฺด์) ให้อายะฮฺนั้นเกิดขึ้นแทนจากการกำชับสั่งเสีย (อัล-วะศียะฮฺ) ให้มีความยำเกรง (ตักวา) และแทนจากการอ่านอายะฮฺอัล-กุรอานซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักทั้ง 2 ประการ อายะฮฺที่ถูกอ่านนั้นจะไม่ถูกคิดแทนจาก 2 ด้านนั้น (คือองค์ประกอบหลักทั้ง 2 ประการ) แต่จะถูกคิดว่าเป็นการอ่านซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักหนึ่งเท่านั้น และไม่อนุญาตให้ผู้แสดงธรรมนำเอาบรรดาอายะฮฺอัล-กุรอานที่ประมวลองค์ประกอบหลัก (อัรฺกาน) ทั้งหมดของการแสดงธรรมเข้าไว้ด้วยกันนำมาอ่านในการแสดงคุฏบะฮฺ เพราะสิ่งดังกล่าวไม่ถูกเรียกว่าเป็นการแสดงธรรม (คุฏบะฮฺ) แต่ถ้าหากผู้แสดงธรรมนำเอาบางส่วนของบรรดาองค์ประกอบหลัก (เช่น การกล่าวสรรเสริญพระองค์อัลลอฮฺ) ในเนื้อหาของอายะฮฺหนึ่งมากล่าวก็เป็นที่อนุญาต (อ้างแล้ว 4/390)

5.การขอพร (ดุอาอฺ) แก่บรรดาผู้ศรัทธาในการแสดงธรรมคุฏบะฮฺที่สอง ด้วยถ้อยคำที่เรียกว่าเป็นการขอพร (ดุอาอฺ) ตามจารีต (อัล-อุรฺฟ์) (อัล-ฟิกฮุลมันฮะญียฺ เล่มที่ 1 หน้า 207)

องค์ประกอบหลักข้อนี้ในมัซฮับอัช-ชาฟิอียฺมี 2 คำกล่าวคือ

(หนึ่ง) ถือเป็นสิ่งที่ถูกส่งเสริม (มุสตะหับ) และไม่จำเป็น เพราะหลักเดิม (อัล-อัศลุ) คือไม่มีความจำเป็นในการขอดุอาอฺ และเป้าหมายของการแสดงธรรมคือการตักเตือนชี้แนะ คำกล่าวนี้เป็นตัวบทของอิมาม อัช-ชาฟิอียฺ (เราะฮิมะฮุ้ลลอฮฺ) ในตำรา อัล-อิมลาอฺ ซึ่งอิมาม อัร-รอฟิอียฺและท่านอื่นๆ ถ่ายทอดจากตำราเล่มนี้

(สอง) ถือเป็นสิ่งจำเป็น (วาญิบ) และเป็นองค์ประกอบหลัก (รุกฺน์) ที่การแสดงธรรม (คุฏบะฮฺ) จะใช้ไม่ได้นอกเสียจากต้องมีองค์ประกอบข้อนี้ คำกล่าวที่สองนี้เป็นตัวบทของอิมามอัช-ชาฟิอียฺ (เราะฮิมะฮุ้ลลอฮฺ) ใน “มุคตะศ็อร” ของอิมาม อัล-มุซะนียฺ (เราะฮิมะฮุ้ลลอฮฺ) และในตำราของอิมามอัล-บุวัยฏียฺ (เราะฮิมะฮุ้ลลอฮฺ) ตลอดจนตำราอัล-อุมม์ อย่างไรก็ตาม นักวิชาการสังกัดมัซฮับอัช-ชาฟิอียฺ มีความเห็นต่างกันว่า คำกล่าวใดเป็นคำกล่าวที่ถูกต้องที่สุด (อะเศาะหฺ อัล-เกาวฺลัยนฺ) ปวงปราชญ์ชาวอีรักให้น้ำหนักคำกล่าวแรก (คือเป็นที่ส่งเสริม) ส่วนปวงปราชญ์ชาวคุรอสานให้น้ำหนักคำกล่าวที่สอง (คือเป็นสิ่งจำเป็น) ซึ่งอิมาม อัน-นะวาวียฺ (เราะฮิมะฮุ้ลลอฮฺ) ระบุว่าเป็นทัศนะที่ถูกต้องและได้รับการคัดเลือก (มุคตารฺ) (อ้างแล้ว 4/391)

อนึ่ง ในกรณีที่เรากล่าวว่า การขอพร (ดุอาอฺ) เป็นสิ่งจำเป็น ตำแหน่งของการขอพร (ดุอาอฺ) นั้นก็คืออยู่ในการแสดงธรรม (คุฏบะฮฺ) ที่สอง ดังนั้นหากผู้แสดงธรรมกล่าวขอพร (ดุอาอฺ) ในการแสดงธรรม (คุฏบะฮฺ) ที่หนึ่งก็ถือว่าใช้ไม่ได้ และอิมามอัล-หะเราะมัยนฺ (เราะฮิมะฮุ้ลลอฮฺ) กล่าวว่า : “ฉันมีความเห็นว่าจำเป็นที่จะต้องปรากฏว่าการขอพร (ดุอาอฺ) นั้นมีความเกี่ยวพันกับเรื่องราวของอาคิเราะฮฺและไม่เป็นอะไรสำหรับการที่ผู้แสดงธรรมจะจำกัดการขอพรนั้นเฉพาะกับบรรดาผู้ร่วมฟังการแสดงธรรม ด้วยการที่เขากล่าวว่า “เราะหิมะกุมุลลอฮฺ” (رحمكم الله) “ขออัลลอฮฺทรงประทานพระเมตตาแก่พวกท่าน”

ส่วนการขอดุอาอฺให้แก่ผู้ปกครอง (สุลฏอน) นั้นนักวิชาการสังกัดมัซฮับอัช-ชาฟิอียฺ เห็นพ้องว่าไม่จำเป็นและไม่ถูกส่งเสริม” เพราะเข้าข่ายเป็นอุตริกรรม (บิดอะฮฺ) หรือเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ (มักรูฮฺ) หรือค้านกับสิ่งที่ดีที่สุด (คิลาฟุลเอาวฺลา) ทั้งนี้ในกรณีเมื่อผู้แสดงธรรมกล่าวขอพร (ดุอาอฺ) ให้แก่ผู้ปกครอง (สุลฏอน) นั้นโดยเจาะจง

ส่วนการขอพร (ดุอาอฺ) ให้แก่บรรดาผู้นำ (อิมาม) ของชาวมุสลิมและบรรดาผู้รับผิดชอบกิจการของชาวมุสลิม (วะลียุลอัมริ) ให้มีธรรมาภิบาล การสนับสนุนสัจธรรมความถูกต้องและการดำรงความยุติธรรมเป็นต้น ตลอดจนการขอพรให้แก่บรรดากองทัพของชาวมุสลิม (ในการญิฮาดเพื่อปกป้องศาสนา) การขอพร (ดุอาอฺ) ดังกล่าวถือเป็นสิ่งที่ถูกส่งเสริม (มุสตะหับ) โดยการเห็นพ้องของนักวิชาการสังกัดมัซฮับอัช-ชาฟิอียฺ และอิมามอัน-นะวาวียฺ (เราะฮิมะฮุ้ลลอฮฺ) ระบุว่าที่ถูกคัดเลือก (อัล-มุคต๊ารฺ) คือไม่เป็นอะไรในการขอพร (ดุอาอฺ) ให้แก่ผู้ปกครอง (สุลฏอน) โดยเจาะจง เมื่อไม่มีการใช้คำพูดที่เลอะเทอะในการสาธยายคุณลักษณะของผู้ปกครองนั้น วัลลอฮุอะอฺลัม (อ้างแล้ว 4/391)




read more "องค์ประกอบหลัก ทั้ง 2 คุฏบะฮฺ ในการละหมาดวันศุกร์"

วันเสาร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

Top 10 เน็ตไอดอลมุสลิมะห์ที่ฮอตที่สุดของประเทศไทย

Top 10 เน็ตไอดอลมุสลิมะห์ที่ฮอตที่สุดของประเทศไทย



นิยามของคำว่า เน็ตไอดอล คือ ต้นแบบที่เป็นแบบอย่างที่ดีในโลกออนไลน์ หรือ คนที่ถูกคลั้งไคล้ จากการกระทำที่ดีของบุคคลจนบุคคลนั้นนำไปเป็นแบบอย่างในชีวิตประจำวัน มีคนติดตาม follow เป็นแฟนคลับจำนวนมาก

วันนี้ทางมุสลิมไทยโพสต์เลยได้รวบรวม Top 10 เน็ตไอดอลมุสลิมะห์ที่ฮอตที่สุดของประเทศไทย จะมีใครบ้างมาดูกันเลย.... (ไม่ได้จัดอันดับแต่อย่างใด)

1. ไซร่า มิเรอร์



ไซร่า มิเรอร์ ถือเป็นเน็ตไอดอลมุสลิมะห์ที่ฮอตที่สุด เชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จักเธอ ปัจจุบันมียอดผู้ติดตามในเฟสบุ๊กกว่า 310,00 คน และในอินสตาร์แกรมกว่า 285,000 คน กลายเป็นขวัญใจของสาววัยรุ่นมุสลิมทั่วประเทศ

ติดตามไซร่า มิเรอร์ ได้ที่ : Saira Mirror

(อ่านเพิ่มเติม: ไซร่า มิเรอร์ ประวัติ สาวมุสลิมที่สวยที่สุด ในผ้าคลุมฮิญาบ )


2. ฮาญ่า อาลียา สาลีมัด



สาวฮาญ่า เน็ตไอดอลมุสลิมะห์ ที่เป็นข่าวดัง ทิ้งสินสอด 30ล้าน...เพื่อรักแท้ กลายมาเป็นเจ้าของบริษัท Hayalita group จำกัด ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ของตัวเองมากกว่า 20 ชนิด ปัจจุบันมีผู้ติดตามกว่า 193,134 คน

ติดตามได้ที่: Hayalita Center


3. ครีม มณีนุช สันขวา



สาวครีม มณีนุช เน็ตไอดอลมุสลิมะห์ ขวัญใจชาวมุสลิมสุดๆ เธอเป็นสาวน้อยกตัญญูเลี้ยงดูมะ ช่วยขายขนมหวานแบกขนมขายจนได้ใจชาวจังหวัดกระบี่ จนเก็บเงินได้ก้อนใหญ่ขยายกิจการทำธุรกิจความสวยที่ได้รับการยอมรับอย่างภาคภูมิใจ

ติดตามได้ที่: มณีนุช สันขวา


4. Ruksana Mirror



เน็ตไอดอลมุสลิมะห์หน้าคุ้นใช่มั้ย น้องรัก พี่น้องของสาวไซร่า นั้นเอง น่ารัก สดใส อยู่ตลอด

ติดตามได้ที่ : Ruksana Mirror


5. อัสมาร่า อามินเซ็น



อัสมาร่า เน็ตไอดอลมุสลิมะห์ เจ้าของเครื่องสำอาง แบรนด์มุสลิม Skinroot สวยใส น่ารัก เป็นกันเอง

ติดตามได้ที่ : Ausmara Arminsen


6. อลาเวียร์ ปิยะธิดา ศาสนูปถัมภ์



อลาเวียร์ เน็ตไอดอลมุสลิมะห์ที่มากความสามารถ ได้รับเลือกจากประเทศมาเลเซียในงานเคแอล อินเตอร์เนชั่นแนล ฮิญาบ แฟร์ 2015 นับเป็นขวัญใจของวัยรุ่นสาวมุสลิมที่ใครก็ต้องรู้จัก

ติดตามได้ที่ : Piyatida Sassanupathum


7. Munina Chekteh




สาวมินะห์ เน็ตไอดอลมุสลิมะห์ ที่มียอดผู้ติดตามกว่า 135,000 คน

ติดตามได้ที่ : Munina Chekteh


8. Vanita Sani



เน็ตไอดอลมุสลิมะห์ในเรื่อง สาวคนนี้ดีกรีเรื่องแฟชั่นมุสลิม ชุดไหนมาใหม่ต้องห้ามพลาด มีผู้ติดตามเกือบ 100,000 คน

ติดตามได้ที่ : Vanita Sani


9. Norinnee Dasae



เน็ตไอดอลมุสลิมะห์ สุดแนว มีผู้ติดตามกว่า 67,028 คน

ติดตามได้ที่ : Norinnee Dasae


10. Jasmine Phatthrachanok



จัสมิน เน็ตไอดอลมุสลิมะห์ หลานสาวบิ๊กบัง พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน สวย น่ารัก ใครเห็นเป็นต้อง Follow


แหล่งที่มา : news.muslimthaipost.com


#Fashion_Islamic_Society_Online
#นานาทัศนคติ_Islamic_Society_Online
Islamic Society Online



read more "Top 10 เน็ตไอดอลมุสลิมะห์ที่ฮอตที่สุดของประเทศไทย"

วันศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

วิธีการนอนและตื่นนอนในวิถีมุสลิม

วิธีการนอนและตื่นนอนในวิถีมุสลิม



จากการศึกษาวิธีการนอน และการตื่นนอนของท่านนบี (ซ.ล.) พบว่า ท่านนบี (ซ.ล.) เป็นผู้ที่นอนอย่างพอเพียง ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อร่างกายและอวัยวะต่างๆ ทำให้ร่างกายแข็งแรง ท่านจะนอนในช่วงหัวค่ำและตื่นในช่วงดึกๆ ครึ่งที่สองของกลางคืน (คือ เลยเที่ยงคืนไปแล้ว : ผู้แปล) ท่านจะลุกขึ้นมาถูฟันและละหมาดสุนัตตอนกลางคืนเท่าที่อัลลอฮฺ (ซ.บ.) กำหนดไว้ การกระทำเช่นนี้ทำให้ร่างกายและอวัยวะต่างๆ ได้พักผ่อน สะสมกำลังจนเพียงพอและแข็งแรงขึ้นจากการนอน หลังจากนั้นจึงเป็นการออกกำลังกายที่ให้ผลบุญด้วยการละหมาด เหล่านี้คือจุดมุ่งหมายที่จะให้ประโยชน์ต่อทั้งร่างกาย และจิตใจ ทั้งโลกนี้และโลกหน้า

ท่านนบี (ซ.ล.) จะไม่นอนนานเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ และท่านจะไม่ฝืนความต้องการของร่างกายเมื่อต้องการจะนอน ท่านจะทำตามที่ร่างกายต้องการอย่างเต็มที่ โดยนอนเมื่อร่างกายต้องการ กล่าวระลึกถึงอัลลอฮฺ (ซ.บ.) จนกว่านัยน์ตาสองข้างจะหลับลง ไม่ทำให้กระเพาะมีอาหารหรือเครื่องดื่มแน่นเกินไปเวลานอน ไม่นอนลงไปบนพื้นดินโดยไม่มีอะไรรองรับ และไม่นอนบนที่นอนที่สูงเกินไป แต่จะนอนบนที่นอนที่ยัดไส้ด้วยใบไม้ ท่านจะนอนหนุนหมอนและเอามือเข้าไปซุกในหมอนเป็นบางครั้ง

การนอนมีประโยชน์มากมาย แต่การนอนที่ถูกต้องจะให้ประโยชน์มากกว่า คือ การนอนตะแคงขวาทำให้อาหารเคลื่อนไปอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมขึ้นในกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารนั้นจะเอียงไปทางด้านซ้ายเล็กน้อย ดังนั้นการตะแคงไปทางด้านซ้ายเล็กน้อยจะช่วยให้การย่อยอาหารทำงานได้เร็วขึ้น เนื่องจากกระเพาะอาหารจะพิงอยู่กับตับนั่นเอง หลังจากนั้นจึงเอนไปทางด้านขวาเพื่อให้อาหารที่ย่อยแล้วถูกดันออกจากกระเพาะได้สะดวกยิ่งขึ้น ดังนั้นการนอนตะแคงด้านขวาจึงเป็นสิ่งที่เหมาะสมกว่าตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุดการนอน การนอนตะแคงด้านซ้ายบ่อยเกินไปจะเป็นอันตรายต่อหัวใจ เพราะจะทำให้อวัยวะอื่นไปกดที่หัวใจมากขึ้น

การนอนที่แย่ที่สุด คือการนอนหงาย แต่การนอนหงายเพื่อพักผ่อนโดยไม่ได้หลับก็ไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด

การนอนที่แย่ไปกว่านั้นคือ การนอนคว่ำหน้า ดังที่มีรายงานในหนังสือ “มุสนัด” และ “สุนันอิบนิมาญะฮฺ” จากท่านอบีอุมามะฮฺ กล่าวว่า ท่านนบี (ซ.ล.) ได้เดินผ่านชายคนหนึ่งซึ่งนอนคว่ำหน้าอยู่ในมัสยิด ท่านได้กล่าวว่า

จงลุกขึ้นยืนหรือนั่งเถิด เพราะการนอนท่านี้ (นอนคว่ำหน้า) เป็นการนอนของพวกที่อยู่ในนรก

(ระดับดี อิบนิมาญะฮฺ, 3725)

การนอนที่พอดี จะทำให้ร่างกายฟื้นคืนพลังจากการทำงานกลับมาดังเดิม ให้พลังจิตได้พักผ่อนจากภาระที่ต้องแบกไว้ ผ่อนคลายจากความเหนื่อยยากต่างๆ การนอนในตอนกลางวันเป็นสิ่งที่ไม่ดี ทำให้เกิดโรคต่างๆ จากความชื้นและความเย็นที่ศีรษะ ทำให้ผิวพรรณเสียไป ทำให้ม้ามเป็นโรค เกิดเส้นประสาทอ่อนแอ ทำให้ขี้เกียจ นอกจากในฤดูร้อนเวลาเที่ยงเท่านั้น การนอนที่เลวร้ายมากคือ การนอนในตอนเช้าตรู่ การนอนที่เลวร้ายกว่านั้นคือ การนอนในเวลาใกล้ค่ำ

ครั้งหนึ่งท่านอับดุลลอฮฺ อิบนิอับบาส ได้เห็นบุตรชายนอนในตอนเช้าตรู่ ท่านจึงบอกกับเขาว่า "จงลุกขึ้นเถิด เจ้าจะนอนในเวลาที่ความมั่งคั่งกำลังถูกแจกจ่ายอยู่หรือ ! "

การนอนในตอนเช้าตรู่เป็นการห้ามความมั่งคั่งของตัวเองในปัจจัยยังชีพต่างๆ ที่อัลลอฮฺ (ซ.บ.) จะประทานให้ เนื่องจากช่วงเช้าเป็นช่วงที่อัลลอฮฺ (ซ.บ.) กำลังแจกจ่ายริสกีหรือปัจจัยยังชีพของพระองค์แก่สิ่งที่ถูกสร้างทั้งหลาย ดังนั้น การไปนอนในช่วงนั้น จึงเป็นการปิดกั้นริสกีของตนเอง นอกจากด้วยเหตุจำเป็นหรือเจ็บป่วย การนอนในตอนนี้ยังเป็นอันตรายมากต่อร่างกายทำให้ร่างกายอ่อนแอ ทำให้อาหารที่อยู่ในกระเพาะต้องเน่าเสียไปทั้งๆ ที่ควรจะถูกย่อยและนำไปใช้ประโยชน์ด้วยการออกกำลังกายและการเคลื่อนไหวต่างๆ และเกิดอันตรายต่อร่างกายเกิดเป็นโรค และความอ่อนแอ และจะนำไปสู่โรคต่างๆ อื่นๆ เพิ่มขึ้น

การนอนภายใต้แสงอาทิตย์สามารถทำให้เกิดโรคได้ การนอนที่ให้ร่างกายส่วนหนึ่งโดนแดดและร่างกายส่วนหนึ่งอยู่ในร่มเป็นการนอนที่ไม่ดี มีรายงานจากท่านอบูดาวูดในหนังสือ “สุนัน” จากฮะดิษของท่านอบีฮุรอยเราะฮฺ กล่าวว่า ท่านนบี (ซ.ล.) ได้กล่าวว่า

ถ้าหากคนหนึ่งคนใดจากพวกท่านนอนกลางแดดและเกิดมีร่มเงาขึ้น ทำให้ตัวของเขาส่วนหนึ่งถูกแดดเผา และส่วนหนึ่งอยู่ในร่ม ก็จงตื่นขึ้นจากที่นั้นเถิด

(ระดับดี อบูดาวุด, 4821)

ในหนังสือ “สุนันอิบนิมาญะฮฺ” และคนอื่นๆ ได้รายงานฮะดิษจากท่านบะรีดะฮฺ บินฮะซีบ ว่า ท่านนบี (ซ.ล.) ได้ห้ามไม่ให้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ในระหว่างกลางของร่มเงาและแดดเผา และนี่คือการเตือนไม่ให้นอนในระหว่างมันเช่นกัน

ใน “ซอฮีเฮน” จากท่านบะรอฮฺ บินอาซิบ รายงานว่า ท่านนบี (ซ.ล.) เมื่อท่านจะไปนอนก็ให้อาบน้ำละหมาดก่อน เหมือนกับที่ท่านอาบน้ำละหมาดก่อนละหมาด หลังจากนั้นก็ให้นอนตะแคงขวา และกล่าวว่า

โอ้ อัลลอฮฺ แท้จริงฉันขอมอบร่างกายของฉันให้กับพระองค์ ขอผินหน้าไปหาพระองค์ ขอมอบหมายการงานของฉันไว้ที่พระองค์ ขอหลบภัยทั้งปวงไปหาพระองค์ ด้วยความหวังและความกลัวในพระองค์ ไม่มีที่หลบภัยใดๆ ที่จะพ้นไปจากท่าน นอกจากท่านจะเป็นผู้ให้ที่หลบภัยนั้น ฉันขอศรัทธาต่อคัมภีร์ของพระองค์ ที่ได้ประทานลงมา ขอศรัทธาต่อนบีของพระองค์ที่ได้ส่งลงมา

ให้คำกล่าวเหล่านี้เป็นคำกล่าวสุดท้ายของท่าน เพราะถ้าหากท่านได้เสียชีวิตไปในคืนนั้นก็เท่ากับท่านได้เสียชีวิตในสภาพของมุสลิม

(ซอเฮียะฮฺบุคอรี, 6311)

ท่านนบี (ซ.ล.) จึงได้สอนผู้นอนให้กล่าวคำขอมอบหมายและขอลี้ภัยต่างๆ ต่อพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ด้วยความหวังและความหวาดกลัว เพื่อจะได้รับการปกป้องอย่างสมบูรณ์จากอัลลอฮฺ (ซ.บ.) เพื่อช่วยคุ้มครองร่างกายและจิตใจของเขา และเขาอาจจะเสียชีวิตในขณะที่นอนก็ได้ ดังนั้นถ้าหากคำสุดท้ายที่เขากล่าวเป็นการแสดงความศรัทธาต่ออัลลอฮฺ (ซ.บ.) แล้ว เขาก็จะได้เข้าสวรรค์อย่างแน่นอน และแนวทางในการนอนนี้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อหัวใจและร่างกาย รวมทั้งวิญญาณ ทั้งในการนอนและการตื่นจากนอนทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ขอคำสรรเสริญของ อัลลอฮฺ (ซ.บ.) และความสันติจงมีแด่ท่านผู้มอบสิ่งดีๆ ให้แก่ประชาชาติของท่านด้วยเถิด

แนวทางการตื่นนอน

แนวทางการตื่นนอนของท่านนบี (ซ.ล.) ท่านจะตื่นเมื่อได้ยินเสียงไก่ขัน จะกล่าวสรรเสริญอัลลอฮฺ และกล่าวตักบีร กล่าว “ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ” และขอดุอาร์ ถูฟันด้วยไม้ถูฟัน แล้วจึงลุกขึ้นไปอาบน้ำละหมาด หลังจากนั้นก็ไปละหมาด กล่าวสรรเสริญพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ตั้งความหวังไว้กับพระองค์ ขอต่อพระองค์ด้วยความหวังและความกลัว วิธีนี้เป็นการรักษาสุขภาพของจิตใจและร่างกายไปพร้อมๆ กัน ฟื้นฟูวิญญาณและพละกำลัง เพื่อให้ได้รับความสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้า

วัลลอฮฺอะห์ลัมบิศศอวาบ

ผู้แปล : นายแพทย์ กษิดิษ ศรีสง่า

แหล่งที่มา : มหัศจรรย์อัลกุรอ่าน, การแพทย์ตามแนวทางท่าน นบีมุฮัมหมัด 


#ปาฏิหาริย์แห่งอิสลาม_Islamic_Society_Online
#มหัศจรรย์อัลกรุอาน_Islamic_Society_Online
#เรื่องเล่าคติเตือนใจ_Islamic_Society_Online
#นานาทัศนคติ_Islamic_Society_Online
Islamic Society Online



read more "วิธีการนอนและตื่นนอนในวิถีมุสลิม"

วันพฤหัสบดีที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

อิสลามเข้าสู่จีนได้อย่างไร

อิสลามเข้าสู่จีนได้อย่างไร

(บรรจง บินกาซัน)


ก่อนหน้าสมัยอิสลาม สองมหาอำนาจของโลก คือ อาณาจักรโรมันไบแซนตินและอาณาจักรเปอร์เซียทำสงครามแย่งชิงดินแดนที่ชาวอาหรับเรียกว่า “อัชชาม” ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของคาบสมุทรอาหรับ ในสมัยนั้น อัชชามกินพื้นที่ซีเรีย จอร์แดน ปาเลสไตน์และเลบานอน

อัชชามเป็นพื้นที่สำคัญทางยุทธศาสตร์และเป็นชุมทางการค้าสำคัญบนเส้นทางสายไหม สินค้าจากจีนถูกขนส่งมายังที่นี่และถูกกระจายไปยังยุโรป อาฟริกาและแผ่นดินอาหรับ ชาวอาหรับรู้จักผ้าไหมและเครื่องปั้นดินเผาจากจีนก่อนหน้าอิสลามเพราะชาวอาหรับเดินทางไปค้าขายที่นั่น นบีมุฮัมมัดเคยติดตามลุงของท่านไปค้าขายที่อัชชามตั้งแต่อายุ 12 ขวบ ท่านจึงมีประสบการณ์ทางการค้าจากการเห็นสินค้า การเจรจาต่อรอง รู้จักคนต่างชาติและรู้เรื่องความสัมพันธ์ของผู้คนจากชาติต่างๆ

ที่กล่าวมาคือเหตุผลว่าทำไมสองมหาอาณาจักรใหญ่ของโลกในเวลานั้นจึงทำสงครามแย่งชิงแผ่นดินอัชชามไว้เป็นของตัวเอง

เมื่อนบีมุฮัมมัดเป็นผู้ปกครองเมืองมะดีนะฮฺ ท่านได้ส่งสาสน์เชิญชวนเฮราคลีอุสตัวแทนที่จักรพรรดิแห่งอาณาจักรไบแซนตินส่งมาเป็นผู้ปกครองอัชชามและคุสโรจักรพรรดิแห่งอาณาจักรเปอร์เซียเข้ารับอิสลาม เฮราคลีอุสตอบรับสาสน์อย่างมีไมตรี แต่คุสโรฉีกสาสน์ของนบีมุฮัมมัดทิ้ง นบีมุฮัมมัดจึงกล่าวว่าไม่ช้าอาณาจักรเปอร์เซียจะถูกฉีก

หลังสมัยนบีมุฮัมมัดได้สิบกว่าปี อัชชามและอาณาจักรเปอร์เซียตกเป็นของชาวอาหรับมุสลิมในสมัยของเคาะลีฟะฮฺอุมัรฺ แผ่นดินอิสลามจึงขยายกว้างออกไป


เมื่ออุษมานขึ้นมาเป็นเคาะลีฟะฮฺต่อจากอุมัรฺ อุษมานได้ส่งคณะทูตที่นำโดยซะด์ บินอะบีวักกอศ สาวกคนหนึ่งของนบีมุฮัมมัดไปยังจีนเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีและได้รับการต้อนรับอย่างดีจากจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถัง หลังจากนั้น มัสญิดแห่งแรกในจีนได้ถูกสร้างขึ้นที่มณฑลกวางตุ้งเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานระลึกถึงท่านนบีมุฮัมมัด

ความสัมพันธ์ระหว่างชาวมุสลิมกับจีนเริ่มมีมากขึ้นโดยทางการค้าซึ่งมีพ่อค้าชาวอาหรับและชาวเปอร์เซียเข้าไปค้าขายในแผ่นดินจีน และบางครั้งก็โดยทางทหารเมื่อกองทัพมุสลิมของราชวงศ์อับบาซีย์ถูกส่งเข้าไปช่วยเหลือในการปราบกลุ่มก่อความไม่สงบตามการร้องขอของจักรพรรดิจีนในบางสมัย

การค้าขายที่ขยายตัวออกไปทำให้มีประชาคมมุสลิมหลายแห่งเกิดขึ้นในจีน ดังจะเห็นได้จากมัสยิดเก่าแก่นับพันปีในเมืองต่างๆในหลายพื้นที่โดยเฉพาะในมณฑลซีอานและมัสยิดเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นตามสถาปัตยกรรมจีน นี่เป็นสิ่งที่แสดงว่าอิสลามยอมรับวัฒนธรรมอื่นๆ ชาวจีนที่นับถือศาสนาอิสลามถูกเรียกว่าหุย


ในสมัยราชวงศ์หมิง ชาวจีนที่นับถืออิสลามบางคน เช่น เจิ้งเหอ ได้รับตำแหน่งเป็นแม่ทัพเรือที่นำกองเรือขนาดใหญ่ของจีนออกเดินทางสำรวจทางทะเลเป็นเวลากว่า 25 ปีและมีบันทึกว่าเขาได้เดินทางไปทำฮัจญ์ที่เมืองมักก๊ะฮฺด้วย

เมื่อจีนเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นสาธารณะรัฐโดยซุนยัตเซน มีนักศึกษาชาวจีนมุสลิมหลายสิบคนได้เดินทางไปศึกษาศาสนาอิสลามที่ในประเทศอียิปต์ หลังจากจบการศึกษาแล้ว นักศึกษาเหล่านี้ได้กลับมาตั้งสถาบันและองค์กรในเมืองต่างๆเพื่อเผยแผ่สั่งสอนอิสลามแก่ชาวจีนในท้องถิ่น

แต่หลังจากจีนถูกประกาศเป็นสาธารณะรัฐประชาชนจีนที่มีการปกครองแบบคอมมิวนิสต์โดยเหมาเจ๋อตุง ศาสนาถูกมองว่าเป็นเหมือนยาเสพติดที่มอมเมาประชาชนไม่ว่าจะศาสนาใดก็ตาม ดังนั้น สิ่งใดก็ตามที่ถูกถือว่าเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา เช่น โบสถ์ วัดและมัสญิดจึงถูกสั่งทำลายหรือถูกสั่งปิดหรือไม่ก็ถูกนำไปใช้เพื่อสาธารณะประโยชน์ พิธีกรรมต่างๆทางศาสนาถูกสั่งห้าม ผู้หญิงจีนมุสลิมที่เคยคลุมฮิญาบต้องเปลี่ยนมาใช้ตาข่ายคลุมผมแทนเพื่อหลีกเลี่ยงการตกเป็นเป้าทำลาย


อย่างไรก็ตาม ลัทธิคอมมิวนิสต์ไม่สามารถทำลายพิธีกรรมทางศาสนาอิสลามได้ ในทางตรงข้าม ลัทธิคอมมิวนิสต์ต่างหากที่ไปไม่รอด ในสมัยของเติ้งเสี่ยวผิง รัฐบาลจีนจึงผ่อนคลายนโยบายทางเศรษฐกิจและสังคม ดังนั้น ชาวจีนที่นับถือศาสนาอิสลามจึงได้มีโอกาสไปทำพิธีฮัจญ์ ได้ละหมาดและเฉลิมฉลองเทศกาลทางศาสนาในมัสญิดได้อย่างเสรี มัสญิดเก่าแก่หลายแห่งในจีนได้กลายเป็นสถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ทำรายได้และสร้างเกียรติภูมิให้แก่จีน


#ประวัติศาสตร์อิสลาม_Islamic_Society_Online
#ประชาชาติอิสลาม_Islamic_Society_Online
Islamic Society Online



read more "อิสลามเข้าสู่จีนได้อย่างไร"

วันพุธที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

กฎหมายอิสลามเบื้องต้น : กฎหมายอาญาว่าด้วยเรื่องการลักทรัพย์หรือโจรกรรม

กฎหมายอิสลามเบื้องต้น : กฎหมายอาญาว่าด้วยเรื่องการลักทรัพย์หรือโจรกรรม

(อาลี เสือสมิง)



กฎหมายอิสลามเบื้องต้น : ลักษณะอาญาและบทลงโทษในกฎหมายอิสลาม ว่าด้วยเรื่องการลักทรัพย์หรือโจรกรรม


การลักทรัพย์หรือโจรกรรม เรียกในภาษาอาหรับว่า อัสสะริเกาะฮฺ (اَلسَّرِقَةُ) ตามหลักภาษาหมายถึง การเอาทรัพย์สินโดยไม่เปิดเผย ส่วนตามคำนิยามในกฏหมายอิสลาม หมายถึง การเอาทรัพย์สินของผู้อื่นอย่างไม่เปิดเผยโดยมิชอบจากสถานที่เก็บทรัพย์สินตามเงื่อนไขเฉพาะที่ถูกกำหนดเอาไว้

การลักทรัพย์ถือเป็นบาปใหญ่ และถือเป็นพฤติกรรมของผู้ที่ไม่ศรัทธา ไม่มีความซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น ดังนั้นศาสนาอิสลามจึงกำหนดโทษเอาไว้รุนแรงมากด้วยการตัดข้อมือ ดังระบุในอัลกุรฺอานว่า :


وَالسَّارِقُ وَالسَّارِقَةُ فَاقْطَعُواْ أَيْدِيَهُمَا جَزَاء بِمَا كَسَبَا نَكَالاً مِّنَ اللّهِ وَاللّهُ عَزِيزٌ حَكِيمٌ


และชายผู้ลักทรัพย์และหญิงผู้ลักทรัพย์นั้น พวกท่านจงตัดมือของบุคคลทั้งสอง เพื่อเป็นการตอบแทนต่อสิ่งที่บุคคลทั้งสองได้ขวนขวายเอาไว้ อันเป็นการลงโทษจากพระองค์อัลลอฮฺ และอัลลอฮฺทรงเกียรติยิ่งอีกทั้งทรงปรีชาญาณยิ่ง” (ซูเราะฮฺ อัล-มาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 38)


และท่านนบี (ซ.ล.) ได้กล่าวว่า : 


( لَعَنَ اﷲُالسَّارِقَ يَسْرِقُ الْبيْضَةَ فَتُقْطَعُ يَدُه )


พระองค์อัลลอฮฺทรงสาปแช่งผู้ลักทรัพย์โดยที่เขาลักไข่เพียง 1 ฟองแล้วมือของเขาก็ถูกตัด” (รายงานโดย บุคอรีและมุสลิม)


บทลงโทษคดีลักทรัพย์


เมื่อมีการยืนยันในคดีลักทรัพย์ตามเงื่อนไขที่จะกล่าวถึงต่อไป เบื้องหน้าผู้พิพากษาคดีความ ก็จำเป็นต้องดำเนินคดีกับผู้ลักทรัพย์ คือ ตัดมือข้างขวาจากทางข้อมือ ในกรณีที่ผู้ลักทรัพย์ก่อคดีเป็นครั้งแรก หากผู้กระทำผิดลักทรัพย์ในครั้งที่ 2 หลังจากถูกตัดมือขวาไปแล้ว ก็ให้ตัดข้อเท้าข้างซ้ายของจำเลย

หากลักทรัพย์เป็นที่ครั้งที่ 3 หลังจากถูกตัดข้อเท้าข้างซ้ายไปแล้ว ก็ให้ตัดข้อมือข้างซ้าย หากจำเลยไม่หลาบจำ กระทำผิดเป็นครั้งที่ 4 ก็ให้ตัดข้อมือข้างขวาของจำเลย หากกระทำผิดในฐานลักทรัพย์อีก ให้ผู้มีอำนาจหรือผู้พิพากษาพิจารณาดำเนินคดีลหุโทษตามความเหมาะสม ทั้งนี้ ท่านอิหม่าม อัชชาฟีอีย์ (ร.ฮ.) ได้รายงานไว้ในมุสนัดของท่าน จากท่านอบูฮุรอยเราะฮฺ (ร.ฎ.) ว่า ท่านนบี (ซ.ล.) ได้กล่าวถึงผู้ลักทรัพย์ว่า :


إِنْ سَرِقَ فَاقْطَعُوْايَدَه ، ثُمَّ إِنْ سَرِقَ فَاقْطَعُوْاِرجْلَه ثُمَّ إِنْ سَرِقَ فَاقْطَعُوْايَدَه ، ثُمَّ إِنْ سَرِقَ فَاقْطَعُوْا رِجْلَهُ


หากว่าเขาลักทรัพย์ พวกท่านจงตัดมือของเขา ต่อมาหากเขาลักทรัพย์ ก็จงตัดข้อเท้าของเขา ต่อมาหากเขาลักทรัพย์อีก ก็จงตัดมือของเขา ต่อมาหากเขาลักทรัพย์อีก พวกท่านก็จงตัดข้อเท้าของเขา
(อัลอุมม์ 6/138)


อนึ่ง คดีลักทรัพย์จะได้รับการยืนยันด้วยหนึ่งในสองวิธีดังนี้ คือ

  1. ผู้ลักทรัพย์สารภาพอย่างชัดเจนว่าตนลักทรัพย์
  2. มีพยานเป็นชายที่ยุติธรรม 2 คน ยืนยันว่าจำเลยได้ก่อคดีลักทรัพย์

ทั้งนี้ หากจำเลยกลับคำให้การ ก็ไม่ต้องถูกตัดมือ แต่จำต้องชดใช้ทรัพย์สินที่ถูกขโมยแก่เจ้าทรัพย์เท่านั้น

ส่วนเงื่อนไขในการดำเนินคดีผู้ลักทรัพย์ตามบทลงโทษด้วยการตัดมือ ผู้ที่ลักทรัพย์จะไม่ถูกตัดมือนอกจากมีเงื่อนไขครบถ้วน ดังต่อไปนี้

(1) ผู้ลักทรัพย์ต้องบรรลุศาสนภาวะ มีสติสัมปชัญญะพร้อมทั้งกระทำด้วยความสมัครใจ (ไม่ถูกบังคับ)

(2) ผู้ลักทรัพย์ต้องมิใช่บุตรของผู้เป็นเจ้าทรัพย์ มิใช่บิดาและมิใช่คู่สามีภรรยา

(3) ทรัพย์ที่ถูกขโมยต้องเป็นทรัพย์ที่หะล้าล และมีจำนวนถึงอัตรา 1/4 ดีนาร์ในการตีราคา หรือเท่ากับ 3 ดิรฮัมขึ้นไป เนื่องจากมีหะดีษระบุว่า : ( لاَتُقْطَعُ يَدُالسَّارِقِ إِلاَّفِى رُبْعِ دِيْنَارٍفَصَاعِدًا ) “มือของผู้ลักทรัพย์จะไม่ถูกตัดนอกจากใน (กรณีที่ทรัพย์นั้นถึง) หนึ่งในสี่ของดีนาร์ขึ้นไป” (รายงานโดย บุคอรี -6407- / มุสลิม -1684-)

และมีรายงานจากท่านอิบนุ อุมัร (ร.ฎ.) ว่า “ท่านนบี ได้ตัดสินให้ตัดมือผู้ลักขโมยโล่ห์ที่มีราคา 3 ดิรฮัม” (รายงานโดย บุคอรี -6411-)


(4) ทรัพย์ที่ถูกขโมยนั้นต้องอยู่ในสถานที่มิดชิดหรือมีขอบเขต เช่น บ้าน , ร้านค้า , คอกสัตว์ หรือกล่อง เป็นต้น

(5) ผู้ลักทรัพย์ต้องไม่มีกรรมสิทธิเกี่ยวข้องในทรัพย์สินที่ถูกขโมยนั้น เช่น ลักค่าจ้างของตนเองจากนายจ้าง เป็นต้น

(6) ผู้ลักทรัพย์นั้นต้องรู้ว่าการลักทรัพย์เป็นสิ่งต้องห้าม

(7) การเอาทรัพย์ไปนั้นต้องมิใช่ด้วยวิธีการฉกชิงวิ่งราวทรัพย์จากเจ้าทรัพย์แล้ววิ่งหนี

(8) การลักทรัพย์นั้นไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงปีที่แห้งแล้งขาดแคลนอาหาร (ทุพภิกขภัย)

อนึ่ง เมื่อมีการยืนยันในคดีลักทรัพย์ และผู้ลักทรัพย์ถูกตัดมือจากคำพิพากษาแล้ว ก็จำเป็นที่ผู้ลักทรัพย์ต้องส่งมอบทรัพย์ของกลางที่ถูกขโมยมาแก่เจ้าทรัพย์ หากเจ้าทรัพย์ยังมีชีวิตอยู่ แต่ถ้าทรัพย์นั้นเสียหายไปแล้วก็จำเป็นต้องชดใช้ตามราคาของทรัพย์นั้น

ในกรณีที่เจ้าทรัพย์อภัยแก่ผู้ลักทรัพย์ และเรื่องยังไม่เป็นคดีความในชั้นศาล ก็ไม่มีการตัดมือแต่อย่างใด แต่ถ้าหากเป็นคดีความในชั้นศาลแล้ว ก็จำเป็นต้องตัดมือ และไม่อนุญาตให้วิ่งเต้นเพื่อลดโทษในคดีความดังกล่าว

การปล้นสะดมภ์


ผู้ที่บุกรุกเคหะสถาน และปล้นทรัพย์พร้อมกับฆ่าเจ้าทรัพย์นั้น มีโทษสถานหนักตามที่อัลกุรฺอานได้ระบุเอาไว้ดังนี้


 إِنَّمَا جَزَاء الَّذِينَ يُحَارِبُونَ اللّهَ وَرَسُولَهُ وَيَسْعَوْنَ فِي الأَرْضِ فَسَادًا أَن يُقَتَّلُواْ أَوْ يُصَلَّبُواْ أَوْ تُقَطَّعَ أَيْدِيهِمْ وَأَرْجُلُهُم مِّنْ خِلافٍ أَوْ يُنفَوْاْ مِنَ الأَرْضِ 


อันที่จริง การตอบแทนของบรรดาผู้ที่ทำสงครามกับอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ และพยายามก่อความเสียหายในแผ่นดิน คือการที่พวกเขาจะถูกประหารชีวิต หรือถูกตรึงบนไม้กางเขน หรือมือและเท้าของพวกเขาจะถูกตัดสลับข้างหรือพวกเขาจะถูกเนรเทศจากแผ่นดินนั้น” (ซูเราะฮฺ อัล-มาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 33)


และเนื่องจากมีรายงานระบุว่า ท่านนบี (ซ.ล.) ได้กระทำเช่นนั้นกับพวกอัรนียีนฺ ซึ่งปล้นอูฐ ซะกาตและสังหารผู้เลี้ยงอูฐและหนีคดี (รายงานโดย บุคอรีและมุสลิม)

ทั้งนี้ให้ผู้มีอำนาจ (อิหม่าม) ดำเนินการลงโทษกับผู้ปล้นสะดมภ์ดังกล่าวทั้งหมด ซึ่งนักวิชาการบางท่านมีความคิดเห็นว่า ให้ประหารชีวิตกรณีมีการฆ่าเจ้าทรัพย์ และให้ตัดมือและเท้าสลับข้างในกรณีขโมยทรัพย์ และให้เนรเทศหรือถูกจำคุกเมื่อไม่มีการฆ่าเจ้าทรัพย์ และการขโมยทรัพย์ จนกว่าพวกนั้นจะเตาบะฮฺตัว (มินฮาญุลมุสลิม หน้า 420)


แหล่งที่มา http://alisuasaming.org/


#นิติศาสตร์อิสลาม_Islamic_Society_Online
Islamic Society Online



read more "กฎหมายอิสลามเบื้องต้น : กฎหมายอาญาว่าด้วยเรื่องการลักทรัพย์หรือโจรกรรม"

วันอังคารที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

สวัสติกะ+จันทร์เสี้ยว: การประสานมือกันระหว่างอิสลามและนาซี

สวัสติกะ+จันทร์เสี้ยว: การประสานมือกันระหว่างอิสลามและนาซี


การเกลี้ยกล่อมคริสตชนดูเหมือนเป็นเรื่องยากกว่าสำหรับ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ แต่กับชาวมุสลิมเขากลับได้รับความร่วมมืออย่างง่ายดาย ด้วยเหตุนี้ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพเยอรมันและหน่วยเอสเอส สามารถเกณฑ์พลจากโลกอิสลามเข้าร่วมรบในกองทัพของตนได้มากถึง 600,000 นาย

ต้นปี 1944 เยอรมนีในวงล้อมของข้าศึกพันธมิตรใกล้ถึงจุดพ่ายแพ้เต็มที ผู้นำฮิตเลอร์ต้องการทหารใหม่เพื่อเป็นกำลังเสริมทัพ จึงต้องหาเพิ่มเท่าที่จะทำได้ ในช่วงเวลาดังกล่าว ปรากฏมีชาวมุสลิมจำนวนนับแสนคนเข้าร่วมในกองทัพของเยอรมนี โดยความเห็นชอบจากบรรดาเหล่านายพล



แม้กระทั่ง ไฮน์ริช ฮิมม์เลอร์ (Heinrich Himmler) ผู้บังคับบัญชาหน่วยเอสเอสก็เออออไปกับการเกณฑ์พลทหารมุสลิม และเพื่อหลอมรวมกองกำลังทั้งสองฝ่ายให้เข้มแข็งและเป็นหนึ่งเดียวกัน ฮิมม์เลอร์ถึงกับเดินทางไปยังสนามฝึกที่นอยฮัมเมอร์ เมื่อวันที่ 11 ม.ค. 1944 เพื่อต้อนรับนายทหารมุสลิมจากบอสเนียด้วยตนเอง

“มันแน่ชัดอยู่แล้ว ทำไมชาวมุสลิมในยุโรปและทั่วโลกจะต้องแตกแยกกับเราชาวเยอรมัน ในเมื่อเราต่างมีเป้าหมายเดียวกัน” ไฮน์ริช ฮิมม์เลอร์กล่าวในพิธีต้อนรับนายทหารมุสลิม ท้ายที่สุดแล้ว ทุกคนต่างก็มีพระเจ้า “พวกคุณเรียกพระเจ้าว่าอัลเลาะฮ์ นั่นก็พระเจ้าเหมือนกัน” เป้าหมายของผู้นำก็คือ ทั้งยุโรปและทั่วโลกจะต้องเป็นอิสระจากชาวยิว

เยอรมันและมุสลิมต่างมีศัตรูกลุ่มเดียวกัน นั่นคือ บอลเชวิก (กลุ่มสังคมนิยมแบบสุดขั้ว) อังกฤษ อเมริกา และยิว

“พระศาสดาโมฮัมเหม็ดบนสวรรค์จะต้องซาบซึ้งในตัวข้าพเจ้า” ไฮน์ริช ฮิมม์เลอร์ถ่ายทอดคำพูดหรือสิ่งที่อดอล์ฟ ฮิตเลอร์คิด แถมยังป่าวตะโกนเรียกขวัญ “กองทัพที่กล้าหาญ” เป็นภาษาอิสลามด้วย

การที่อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ให้ความสนใจในศาสนาอิสลามฟังดูเป็นเรื่องแปลกใหม่ ในความเห็นของนักประวัติศาสตร์อย่างเดวิด โมทาเดล (David Motadel) และลงมือทำในสิ่งที่นักประวัติศาสตร์คนอื่นๆ ก่อนหน้ายังไม่เคยทำ นั่นคือ เขียนหนังสือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสังคมชาตินิยมและโลกของศาสนาอิสลาม

เดวิด โมทาเดลเป็นอาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์สากลที่ London School of Economics มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ กว่าจะเขียนหนังสือสำเร็จเป็นเล่มสมบูรณ์ได้ เขาต้องใช้เวลาวิจัย สืบค้นข้อมูลใน 14 ประเทศ ตั้งแต่ภูมิภาคยุโรปจนถึงอิหร่าน ต้องรื้อค้นเอกสารกองเท่าภูเขา เพื่อคัดเลือกเอาเฉพาะประเด็น ‘อิสลาม’ และประเทศที่เกี่ยวข้องกับสงครามโลกครั้งที่ 2

แม้จะมีคำยกย่องชื่นชมชาวมุสลิมจากอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ทว่าการเกณฑ์พลทหารมุสลิมเข้าเป็นกองกำลังเสริมกลับไม่ได้มีเหตุผลทางศาสนาหรืออุดมการณ์ ไฮน์ริช ฮิมม์เลอร์ยอมแม้กระทั่งละคำพูดที่ส่อไปในทาง ‘เหยียด’ ที่ติดในมโนสำนึกของเขาเสีย เพื่อให้ได้มาซึ่งทหารใหม่ เพื่อจุดประสงค์ นั่นเพราะกองทัพเยอรมันต้องการกองกำลังเพิ่ม ไปอุดช่องว่างความพ่ายแพ้ในสงครามที่นับวันจะคืบเข้าใกล้ทุกที

ความต้องการกำลังเสริมยิ่งเพิ่มมากขึ้น ตราบใดที่สงครามยังดำเนินต่อไป และดูเหมือนว่าเยอรมนีจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากความร่วมมือและความช่วยเหลือจากนักรบมุสลิม ข้อนี้เคยเป็นที่ประจักษ์ช่วงสิ้นปี 1941 เมื่อสงครามกับโซเวียตรัสเซียส่อเค้าว่าจะไม่ยุติภายในเวลาไม่กี่เดือน แต่หากยืดเยื้อต่อไปอีกนาน ในตอนนั้นกองทัพเยอรมันเคลื่อนพลไปใกล้ถึงกรุงมอสโกแล้ว และควรจะรุกคืบบุกยึดพื้นที่ได้สำเร็จ ทว่ากลับไปติดหล่มอยู่ท่ามกลางฤดูหนาวของรัสเซียเสียก่อน พื้นที่ในภูมิภาคนั้นความจริงมีชาวมุสลิมอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งคาบสมุทรบอลข่าน หรือบางส่วนของสหภาพโซเวียต

แรงจูงใจหลักที่ทำให้ชาวมุสลิมยอมสมัครใจเข้าร่วมทำสงครามเคียงบ่าเคียงไหล่กับเยอรมนี เป็นเพราะต้องการหลีกหนีความอัตคัตในชีวิตประจำวัน ในภาวะสงครามที่กรุ่นไปทั่วยุโรปขณะนั้นเต็มไปด้วยความแร้นแค้น นักรบมุสลิมมองเห็นโอกาสที่ดีกว่าในการเข้าร่วมกับมหาอำนาจผู้รุกราน อีกทั้งการเสี่ยงภัยเอาตัวรอดไปอยู่แนวหน้า ยังดีกว่าการถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยศึกในค่ายกักกัน นอกจากนั้น มุสลิมส่วนใหญ่มองบอลเชวิกเป็นศัตรู พอๆ กับอังกฤษ

ส่วนความเกลียดชังยิวนั้นไม่ใช่เหตุผลเลย ยกเว้นมุสลิมในปาเลสไตน์ โดยเฉพาะผู้นำอิสลามในเยรูซาเล็มขณะนั้น มองชาวยิวเสมือนผู้กดขี่เอาเปรียบ และเป็นศัตรู ที่พวกเขาคิดอยากขับไล่หรือทำลายล้าง

เพื่อชนะใจและการได้กองกำลังเสริม นาซีจึงต้องยอมผ่อนปรนบางอย่างที่เกี่ยวข้องทางศาสนาให้กับชาวมุสลิมในเขตยึดครอง อย่างเช่นยินยอมให้สร้างมัสยิด และอนุญาตให้ทหารทำพิธีกรรมทางศาสนาได้ ทั้งฮิตเลอร์ ฮิมม์เลอร์ และพรรคพวกยังกล่าวถึงการเมืองโลก ที่มีอิสลามเป็นส่วนหนึ่งอีกด้วย



“ชาวมุสลิม 232 ล้านคนใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อาณัติของอังกฤษ อเมริกา ฝรั่งเศส และรัสเซีย พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้สนใจศาสนาหรือผู้นับถือศาสนาอิสลามเลย แต่เยอรมนีใส่ใจ และถ้าหากเยอรมนีถูกทำลายล้างเมื่อไหร่ ความเป็นไปได้สุดท้ายที่ชาวมุสลิมจะมีชีวิตอยู่อย่างเสรีก็จะหมดไปด้วย”

นอกจากนั้น เยอรมนียังพยายามชักจูงพันธมิตรอย่างญี่ปุ่นและอิตาลี ให้อ้าแขนต้อนรับมุสลิมเข้าร่วมในฝ่ายของตนอีกด้วย ผลลัพธ์คือ ในกรุงโตเกียวมีการสร้างมัสยิดหลังใหญ่ขึ้น ทั้งที่ความจริงแล้วกลุ่มมหาอำนาจเหล่านี้ไม่ได้สนใจเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม หรือชาวมุสลิมเลย ทุกฝ่ายต้องการเพียงแนวร่วม เพราะในขณะนั้นมีประชากรชาวมุสลิมทั่วโลกถึง 350 ล้านคน

กองทัพเยอรมันและหน่วยเอสเอสดูเหมือนจะประสบความสำเร็จกับความเพียรพยายามในการชักจูงทหารมุสลิมเข้าร่วมในสงคราม กลางปี 1943 พวกเขาเกณฑ์ทหารมุสลิมเข้าในกองทัพได้ราว 300,000 นาย ในปีต่อมาจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 600,000 นาย โดยส่วนใหญ่เกณฑ์ได้จากอาเซอร์ไบจาน เตอร์กีสถาน คัลมืยคียา ยูเครน จอร์เจีย และอาร์เมเนีย ในส่วนของอาหรับมีจำนวนเพียงน้อย

ผู้นำในการเกณฑ์พลของนาซีคือ เคลาส์ ฟอน สเตาฟ์เฟนแบร์ก (Claus von Stauffenberg) ที่ต่อมาเป็นตัวการสำคัญในการลอบสังหาร อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เมื่อวันที่ 20 ก.ค. 1944 ทหารมุสลิมที่เกณฑ์มาได้ ถูกส่งไปประจำการตามที่ต่างๆ เช่น ในเหตุการณ์ปราบจลาจลที่กรุงวอร์ซอร์

หรือแม้กระทั่งใน ‘ศึกสุดท้าย’ ที่กรุงเบอร์ลิน เดือนเมษายน 1945



อ้างอิง:
  • David Motadel, Für Prophet und Führer: Die Islamische Welt und das Dritte Reich (Islam and Nazi Germany’s War), Klett-Cotta Verlag, 2017
  • www.focus.de
  • www.sueddeutsche.de
แหล่งที่มา : https://themomentum.co/


#ประชาชาติอิสลาม_Islamic_Society_Online
#ประวัติศาสตร์อิสลาม_Islamic_Society_Online
Islamic Society Online



read more "สวัสติกะ+จันทร์เสี้ยว: การประสานมือกันระหว่างอิสลามและนาซี"

วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

คัมภีร์อัลกุรอ่าน 9 เล่มที่เก่าแก่ที่สุดในโลก

คัมภีร์อัลกุรอ่าน 9 เล่มที่เก่าแก่ที่สุดในโลก



อัลกุรอ่านถูกประทานลงมา เมื่อ 1,400 กว่าปีมาแล้ว เป็นคัมภีร์จากฟากฟ้าเล่มเดียวที่ปราศจากการถูกบิดเบือน และแม้นว่านับแต่อดีตจวบจนปัจจุบันจะมีการเขียนคอด (อักษรลายมือ) ต่างๆ ที่หลากหลายรวมทั้งมีการพิมพ์อัลกุรอ่านออกไปนับล้านๆ เล่ม แต่การค้นพบอัลกุรอ่านฉบับเก่าแก่หลายฉบับเป็นการพิสูจน์ว่า อัลกุรอ่านเล่มนี้ยังคงรักษาเอกลักษณ์และปราศจากการถูกบิดเบือนแต่อย่างใด


1. คัมภีร์อัลกุรอ่านฉบับนี้เชื่อว่าน่าจะเป็นอัลกุรอ่านฉบับเก่าแก่ที่สุด ถูกเขียนราวปี ค.ศ 649- 675 หรือ 20-40 ปี หลังการเสียชีวิตของท่านศาสดามุฮัมหมัด (ซล.) เพิ่งมีการพบเมื่อเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา ในหอสมุดมหาวิทยาลัย “ทือบิงเงิน” (Tübingen) ประเทศเยอรมนี โดยที่นักวิจัยเชื่อในความถูกต้องของอายุอัลกุรอ่านเล่มนี้ถึง 95 เปอร์เซ็นต์



2. คัมภีร์อัลกุรอ่านฉบับนี้ เขียนขึ้นระหว่าง 200-300 ปีหลังการอพยพของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) (ศตวรรษที่ 9-11 ค.ศ.) มีจำนวน 536 หน้า ค้นพบในเขตพื้นที่ “ ฉงชิ่ง” (Dong Xiang) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน



3. คัมภีร์อัลกุรอ่านฉบับนี้ เขียนขึ้นในระหว่าง 200-600 ปี หลังการอพยพของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) ค้นพบในเขตพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ในมัสยิด “Tsih Jih” ในจีน



4. เชื่อว่าคัมภีร์อัลกุรอ่านฉบับนี้มีอายุเก่าแก่ประมาณ 1,200 ปี เพิ่งถูกค้นพบโดยอิมามประจำมัสยิดในเมือง Bodrum ประเทศตุรกี เมื่อปี 2013 ปัจจุบันเก็บรักษาในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ อิซมีร์ (Izmir) ตุรกี



5. คัมภีร์อัลกุรอ่านฉบับนี้ ถูกรู้จักในนาม “ฉบับอุษมาน” เขียนขึ้นในยุคสมัยของคอลีฟะห์อุษมาน (ร.ฎ.) ปัจจุบันเก็บรักษาในพิพิธภัณฑ์ ติลยาชายักซ์ (Telyashayakh Museum) ตุรกี ซึ่งฉบับนี้เป็นคัมภีร์อัลกุรอ่านที่ไม่มีสระ มีน้ำหนัก 80 กิโลกรัม และมีจำนวน 1087 หน้า



6. นักประวัติศาสตร์มีการบันทึกว่า คัมภีร์อัลกุรอ่านเล่มนี้ เขียนขึ้นในศตวรรษที่ 8 ในมักกะห์ หรือมะดีนะห์ ถูกรู้จักในนาม “กุรอ่านมาอิล” (Ma’il Quran) กุรอานฉบับนี้ ถูกเก็บรักษาในพิพิธภัณฑ์ กรุงลอนดอนอังกฤษ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 และปราศจากการเขียนสระ แต่เนื่องจากทรุดโทรมอย่างมาก จึงมีการดูแลรักษาระมัดระวังมากเป็นพิเศษ



7. คัมภีร์อัลกุรอ่านฉบับนี้ เขียนขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 650 – 675 เขียนบนหนังแกะ กุรอานฉบับนี้ถูกเก็บรักษาในมัสยิด อัมร์ (Amr Mosque) เมือง ฟิสฏอฏ (Fustat) เขตปริมณฑลของกรุงไคโร อียิปต์ และบางส่วนของคัมภีร์อัลกุรอ่านเล่มนี้ถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ แห่งชาติฝรั่งเศส



8. คัมภีร์อัลกุรอ่านฉบับนี้ เขียนประมาณ 200 ปี หลังการอพยพ ของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) ซึ่งคัมภีร์อัลกุรอ่านฉบับนี้ค้นพบโดยวัยรุ่นชาวเยเมนในปี 2012 ในถ้ำแห่งหนึ่ง เมือง อัลดาลี (Ad Dali)



9. คัมภีร์อัลกุรอ่านเล่มนี้ถูกค้นพบเมื่อปี 1972 โดยเจ้าหน้าที่ของมัสยิดกลางเมือง ศอฟา เยเมน ซึ่งคัมภีร์อัลกุรอ่านเล่มนี้เขียนขึ้นในช่วงสิบทศวรรษแรกของศตวรรษที่ 8 และคัมภีร์อัลกุรอ่านเล่มนี้เป็นฉบับที่บรรดานักศึกษาวิจัยทำการศึกษาในประวัติการเขียน อย่างมากมาย




source

http://www.katibin.fr/2015/03/01/les-plus-anciens-manuscrits-du-coran/
http://www.mtnsh.com/113980
http://news.mwfpress.com/link/13080_images-of-some-of-oldest-quran-manuscripts


#God_Islamic_Society_Online
#มหัศจรรย์อัลกรุอาน_Islamic_Society_Online
#ปาฏิหาริย์แห่งอิสลาม_Islamic_Society_Online
Islamic Society Online



read more "คัมภีร์อัลกุรอ่าน 9 เล่มที่เก่าแก่ที่สุดในโลก"

วันอาทิตย์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

พระราชวังอัลฮัมบรา เมืองกรานาดา ในแคว้นอันดาลูเซีย

พระราชวังอัลฮัมบรา เมืองกรานาดา ในแคว้นอันดาลูเซีย



พระราชวังอัลฮัมบรา (สเปน: Alhambra) คือ พระราชวังและป้อมปราการตั้งอยู่ที่เมืองกรานาดา เป็นพระราชวังที่ชาวมัวร์อาหรับสร้างไว้อย่างวิจิตรพิสดารและงดงาม เป็นที่เลื่องลือ ตัวพระราชวังอยู่ บนเนินเขาเซียราเนวาดา มองลงไปรอบ ๆ แล้วจะได้พบทิวทัศน์ที่งดงามมาก สร้างขึ้นระหว่างปีค.ศ. 1248-1354 โดยกษัตริย์มุสลิมชาวมัวร์ พระเจ้าโมฮัมเหม็ดที่ 1 อิบน์ นัสร์ แห่งราชวงศ์นาสริด ซึ่งเป็นราชวงศ์ของชาวมุสลิมราชวงศ์สุดท้ายในสเปน คำว่า "อัลฮัมบรา" มาจากคำในภาษาอาหรับ แปลว่า "(สิ่งที่มี) สีแดง" เนื่องจากตัวป้อมปราการนั้นก่อสร้างด้วยหิน ดิน และอิฐสีแดง ส่วนอาคารอื่น ๆ ซึ่งสร้างโดยใช้ปูนขาวเป็นส่วนประกอบก็กลับเห็นเป็นสีออกแดง ๆ เช่นกัน สถาปัตยกรรมของพระราชวังอัลฮัมบรามีความโดดเด่นด้วยลายแกะสลักอย่างละเอียดและประณีต ทั้งผนัง เสา เพดาน โค้งซุ้มประตูต่าง ๆ ล้วนแกะสลักอย่างละเอียด นับเป็นงานศิลป์ชั้นยอดของชาวมัวร์ในยุคนั้นแม้พระราชวังอัลฮัมบราจะมีที่ตั้งอยู่บนเนินเขาสูง แต่ก็มีระบบการจัดการเกี่ยวกับน้ำที่ดี มีการทำคูคลองส่งน้ำจากด้านล่างขึ้นมายังพระราชวังเพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภค ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาด้านการชลประทานของชาวมัวร์ได้เป็นอย่างดี

พื้นที่ภายในลานพระราชวังอัลฮัมบรา (ภาพจาก www.alhambra.org)

พระราชวังอัลฮัมบรา เมืองกรานาดา ในแคว้นอันดาลูเซีย (ภาพ blog.insightvacations.com)

อาคารภายในพระราชวังอัลฮัมบรา (ภาพ blog.insightvacations.com)

พระราชวังแห่งนี้มีลักษณะเป็นป้อมด้วย ภายในประดับประดาหรูหราแบบ สถาปัตยกรรมของชาวแขกมัวร์ หลังจากคริสเตียนได้ยึดคอร์โดบาและตีสเปนได้ ชาวแขกมัวร์อาหรับจึงต้องถอยไปยึดเมืองกรานาดาเป็นเมืองหลวงและสร้างปราสาทราชวังแบบอาหรับที่คิดว่าควรจะสร้างขึ้น แต่ภายในเวลาไม่ถึงร้อยปีก็หมดอำนาจลง พ่ายแพ้แก่กองทัพของพระเจ้าเฟอร์ดินันด์ และพระราชินีอิซาเบลลา ในปี ค.ศ. 1492 เนื่องด้วยมีความแตกแยกภายใน การคิดคตทรยศ และมีผู้นำที่อ่อนแอ 

แม้ว่าความงามอันเป็นเอกลักษณ์บางส่วนถูกทอดทิ้งและบางอย่างถูกทำลาย โดยพระราชโองการ ของจักรพรรดิชาร์ลส์ที่ 5 เพื่อเอาศิลปะแบบอิตาลีเข้าไปเสริมแทรกไว้ก็ตาม แต่ส่วนที่เหลือส่วนใหญ่ ยังสร้างความตื่นตาตื่นใจแก่ชาวโลกอย่างมาก

เขตพระราชวังประกอบขึ้นด้วยส่วนที่เป็นป้อมปราการ มีกำแพงและหอรบสร้างด้วยหินสีแดง ทำให้ได้ชื่อในภาษาอาหรับว่า "กาลัตอัลฮัมบรา" ซึ่งแปลว่า ป้อมแดง ภาย ในกำแพงเป็นเชิงเทิน และตัว พระราชวังอัลคาซาร์ ซึ่งประกอบด้วยหน้าพระลาน ท้องพระโรง เมื่อผ่านประตูแห่งความยุติธรรมจะถึงลานมาลี และลานสิงห์อันมีชื่อเสียง บริเวณรอบ ๆ เป็นสนามกว้างใหญ่มีหินอ่อนแกะสลักประดับไว้อย่างสวยงาม ถึง 124 แผ่น มีน้ำพุตรงกลางที่ฐานน้ำพุมีสิงโตหินอ่อนหมอบอยู่ 12 ตัว



แต่ละด้านของพระราชวังประดับประดา ไว้อย่างวิจิตรพิสดาร มีห้องมุข ห้องชุด สนามหญ้า พระแกล พระทวาร ผนังกำแพง ภายในได้มีการแกะสลักลวดลายไว้ด้วย ความปราณีตงดงาม

ภายในพระอุทยานมีดอกไม้หอมกลิ่นต่าง ๆ ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลากลางคืนถึงกับมีนักแต่งเพลงคนสำคัญที่เคยเยี่ยม เยียนได้แต่งเพลง "ราตรีที่กรานาดา" ไว้เป็นทีระลึก และเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก

การประดับประดาผนังและเสาในพระราชวังอัลฮัมบรา เมืองกรานาดาในแคว้นอันดาลูเซีย (ภาพจาก www.pinterest.com)

การตกแต่งด้วยกระเบื้องดินเผาของชาวมัวร์ในพระราชวังอัลฮัมบรา เมืองกรานาดา ในแคว้นอันดาลูเซีย

ช่องแสงที่มีกลิ่นอายของชาวอาหรับและชาวมัวร์ พระราชวังอัลฮัมบรา เมืองกรานาดา ในแคว้นอันดาลูเซีย 

สวนภายในพระราชวังอัลฮัมบรา เมืองกรานาดา ในแคว้นอันดาลูเซีย (ภาพจาก www.wikimedia.org)

ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 พระราชวังอัลฮัมบราถูกทอดทิ้งจนค่อย ๆ กลายสภาพเป็นที่พักของบรรดาคนจรจัดที่มาอาศัยอยู่กันอย่างระเกะระกะ และทำให้ทรุดโทรมลงไปเรื่อย ๆ พระราชวังบางส่วนถูกทำลายเนื่องจากความไม่รู้ถึงคุณค่า อย่างไรก็ดี หลังจากที่พระราชวังอัลฮัมบราได้กลายเป็นฉากหนึ่งในนวนิยายเรื่อง Tales of the Alhambra รัฐบาลสเปนก็ได้ให้ความสนใจในการบูรณปฏิสังขรณ์พระราชวังแห่งนี้ให้กลับมามีสภาพที่ดีอีกครั้ง ทั้งยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอีกด้วย





read more "พระราชวังอัลฮัมบรา เมืองกรานาดา ในแคว้นอันดาลูเซีย"

บทความแนะนำ

World Clock

Featured Posts

เรื่องราวของสองอารยธรรม : อารยธรรมของชาวไวกิ้งและมุสลิม

เรื่องราวของสองอารยธรรม : อารยธรรมของชาวไวกิ้งและมุสลิม โดย : Cem Nizamoglu และ Sairah Yassir-Deane ย้อนหลังไปถึงมีนาคม 2015 ข่าวเกี่ยวก...