อิหม่าม อบูฮะนีฟะฮฺ
ในช่วงศตวรรษที่สอง และสามแห่งปีฮิจญ์เราะฮฺศักราช ได้กำเนิดสถาบันหรือสำนักศึกษาวิชาการอิสลามด้านนิติศาสตร์ (มะซาฮิบ ฟิกฮียะฮฺ) อย่างมากมาย แต่ละสำนักมีวิธีการประยุกต์หรือหลักการศึกษานิติศาสตร์ที่แตกต่างกันไป ในบรรดาสำนักศึกษานิติศาสตร์ที่เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางและแพร่หลายทั่วโลก คือ สำนักศึกษาที่ก่อตั้งโดย อิมามอบูฮะนีฟะฮฺ ณ เมืองกูฟะฮฺ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนามของสำนัก “อะฮฺลุล เราะยี” หรือสำนักคิดนิยม
1. ชื่อและวงศ์ตระกูล
ท่านมีชื่อว่า นุอฺมาน บิน ซาบิต บิน ซูฏีย์ อัลกูฟีย์ ปู่ของท่าน ซูฏีย์ เป็นชาวกรุงคาบูลที่อพยพไปยังเมืองกูฟะฮฺ เกิดที่เมืองกูฟะฮฺในปีฮิจญ์เราะฮฺที่ 80 และเสียชีวิตที่เมืองบัฆดาด ในปีฮิจญ์เราะฮฺที่ 150 เมื่ออายุได้ 70 ปี มีอาชีพเป็นพ่อค้าไหม ท่านมีชีวิตอยู่ในรุ่นของอัตบาอุตตาบิอีน ซึ่งทันอยู่ร่วมสมัยกับบรรดาเศาะฮาบะฮฺรุ่นเล็กหลายท่าน และตอนเด็กๆ ท่านเคยเห็น ท่านอนัส บิน มาลิก (ร.ฎ.) ในช่วงที่ท่านอนัสเดินทางไปยังเมืองกูฟะฮฺ
2. อาจารย์และสานุศิษย์
ท่านได้รับการประสาทความรู้จากบรรดาอุละมาอฺตาบิอีนที่ทรงคุณวุฒิมากมาย อาทิเช่น หัมมาด บิน อบีสุลัยมาน สะลิมะฮฺ บิน กุหัยล์ อามิร อัชชะอฺบีย์ อิกริมะฮฺ อะฏออฺ เกาะตาดะฮฺ อัซซุฮฺรีย์ นาฟิอฺ เมาลา อิบนิอุมัร เป็นต้น ส่วนบรรดาศานุศิษย์ที่มีบทบาทในการเผยแผ่แนวคิดหรือมัซฺฮับของท่านได้แก่
- กอฎีย์ อบูยูสุฟ (113 – 182 ฮ.ศ.) ซึ่งนับได้ว่าเป็นศิษย์เอกของท่านและมีบทบาทอย่างมากในการเผยแผ่แนวคิดของ ท่านโดยเฉพาะหลังจากที่ท่านได้ดำรงตำแหน่งเป็นกอฎีย์แห่งราชวงค์อัลอับบาซียะฮฺ
- มุหัมมัด บิน หะสัน อัชชัยบานีย์ (132 – 189 ฮ.ศ.) ซึ่งทันศึกษากับอิมามอบูฮะนีฟะฮฺช่วงหนึ่ง และศึกษากับอบูยูสุฟ ท่านเป็นคนที่เริ่มแรกเขียนหนังสือนิติศาสตร์ตามแนวทางของสำนักศึกษาของอิมามอบูฮะนีฟะฮฺและเผยแผ่มัน
- ซุฟัร บิน อัลฮุซัยล์ (110 – 158 ฮ.ศ.)
- อัลหะสัน บิน ซิยาด อัลลุลุอีย์ (133 – 204 ฮ.ศ.)
3. ความรู้เกี่ยวกับนิติศาสตร์และคำชม
- อิบนุมุบาร็อก กล่าวว่า “ฉันไม่เคยเห็นใครมีความรู้เหมือนในด้านนิติศาสตร์กับอบูฮะนีฟะฮฺ”
- ยะหฺยา อัลก็อฏฏอน กล่าวว่า “ฉันไม่ได้โกหกต่ออัลลอฮฺ (ซ.บ.) ฉันไม่เคยได้ยินแนวคิดของผู้ใดที่ดีกว่าอบูฮะนีฟะฮฺ”
- อิมามชาฟิอีย์ กล่าวว่า “ผู้ใดที่ต้องการจะมีความรู้ที่แตกฉานในด้านนิติศาสตร์ เขาต้องพึ่งพา (แนวคิดของ) อบูฮะนีฟะฮฺ”
- สุฟยาน อัษเษารีย์ กล่าวว่า “อบูฮะนีฟะฮฺเป็นผู้ที่ปราดเปรื่องด้านนิติศาสตร์ที่สุดในสมัยท่าน”
4. การทรมานท่านอิหม่าม อบูฮะนีฟะฮฺ
อิหม่าม อบูฮะนีฟะฮฺ ดำรงชีวิตอยู่ใน 2 ยุค สมัยของราชวงค์อัลอุมะวียะฮฺ และสมัยของราชวงค์อัลอับบาซียะฮฺ เมื่อยะซีด อิบนฺ อุมัรในสมัยของราชวงค์อัลอุมะวียะฮฺขึ้นปกครองอิรัก ท่านได้เสนอให้อิหม่าม อบูฮะนีฟะฮฺ ทำหน้าที่เป็นผู้พิพากษาแห่งนครกูฟะฮฺ แต่ท่านอิหม่าม อบูฮะนีฟะฮฺ ปฏิเสธที่จะรับข้อเสนอดังกล่าว อันเนื่องมาจากท่านไม่พอใจต่อการปกครองของราชวงค์นี้ ผลการปฏิเสธดังกล่าวทำให้ยะซีดได้สั่งให้ลงโทษท่านโดยการทรมานท่านอิหม่ามด้วยการเฆี่ยนตีด้วยแซ่วันละ 10 ครั้ง จนครบ 110 ครั้ง ถึงแม้ว่าท่านอิหม่าม อบูฮะนีฟะฮฺ ถูกเฆี่ยนตีท่านก็ยังปฏิเสธที่จะรับตำแหน่งดังกล่าวที่คอลีฟะฮฺได้เสนอให้ท่าน จนกระทั่งในเวลาต่อมายะซีดก็ให้ปล่อยตัวท่านให้เป็นอิสระ อิบนุมุบาร็อก กล่าวว่า “พวกเจ้าจำได้ไหม ผู้ชายที่มีการหยิบยื่นความสุขสบายทางโลกให้แก่เขาแต่เขากลับหนีห่างจากมัน” ชุรัยก์ อันนะเคาะอีย์ กล่าวว่า “อบูฮะนีฟะฮฺเป็นคนที่เงียบ ชอบครุ่นคิดอยู่เสมอ ไม่ค่อยพูดจากับคนอื่น”
หลังจากนั้นไม่นานนักยะซีดมีปรารถนาให้ท่านดำรงตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งในสำนักหรือในการปกครองของตนให้ได้ จึงเสนอให้ท่านรับตำแหน่งเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบกองทุนทรัพย์สิน แต่อิหม่าม อบูฮะนีฟะฮฺ ก็ปฏิเสธอีก และท่านเห็นว่าหากท่านดำรงชีวิตอยู่ในอิรักต่อไป ท่านคงไม่มีความปลอดภัย ท่านก็เลยตัดสินใจอพยพไปสู่นครมักกะฮฺ เพื่อทำการสอนที่นั้น วิชาที่ท่านสอนก็คือวิชาหะดีษและวิชาฟิกฮฺ โดยท่านได้ใช้เวลาในการเผยแผ่วิชาความรู้ที่นั้นเป็นเวลา 6 ปี ด้วยกัน
เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองในอิรัก อำนาจการปกครองได้เปลี่ยนจากราชวงค์อัลอุมะวียะฮฺเป็นราชวงค์อัลอับบาซียะฮฺ คอลีฟะฮฺองค์ใหม่ที่ขึ้นครองอำนาจคือ อบูญะฟัร อัลมันซูร คอลีฟะฮฺอบูยะฟัร ก็พยายามให้ท่านระบายความรู้สึกต่างๆ อบูฮะนีฟะฮฺ ก็ได้แสดงความรู้สึก และความคิดเห็นของท่านในการปกครองของคอลีฟะฮฺองค์นี้ โดยท่านได้วิพากษ์วิจารณ์งานบริหารด้านต่างๆ การแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาของอิหม่าม อบูฮะนีฟะฮฺ สร้างความไม่พอใจแก่คอลีฟะฮฺอบูญะฟัรเป็นอย่างมาก ในที่สุดคอลีฟะฮฺอบูญะฟัรก็ได้ใช้วิธีเดียวกันกับคอลีฟะฮฺในราชวงค์ก่อน โดยได้นําตัวอิหม่าม อบูฮะนีฟะฮฺ จากนครกูฟะฮฺไปยังนครแบกแดดแล้วเสนอตำแหน่งผู้พิพากษาให้แต่ท่านปฏิเสธ ด้วยเหตุดัวกล่าว คอลีฟะฮฺอบูญะฟัรทรงสั่งให้ลงโทษอิหม่าม อบูฮะนีฟะฮฺ ด้วยการคุมขังท่านไว้โดยไม่มีกำหนดจนกระทั้งสิ้นชีพ
ท่านเอิหม่าม อบูฮะนีฟะฮฺ ป็นผู้ที่ได้รับมรดกด้านแนวคิดของสำนักคิดหรือสถาบันการศึกษาอิสลามแห่งเมืองกูฟะฮฺ ซึ่งมีการวางกฏเกณท์หรือหลักการศึกษาและวิเคราะห์หลักนิติศาสตร์อิสลาม ดังนี้ คือ
1. อาศัย อัลกุรอาน สุนนะฮฺ และทัศนะของบรรดาเศาะหาบะฮฺ ในการให้คำชี้ขาดด้านนิติศาสตร์เป็นหลักตามลำดับท่านกล่าวว่า “ฉันจะปฏิบัติตามอัลกุรอาน ตราบใดที่ฉันพบว่ามีระบุอยู่ในนั้น หากไม่แล้วฉันก็จะปฏิบัติตามที่ระบุอยู่ในสุนนะฮฺ หากฉันไม่พบอยู่ในทั้งสอง ฉันก็จะปฏิบัติตามทัศนะของบรรดาเศาะหาบะฮฺ ฉันจะเลือกเอาทัศนะที่ฉันพอใจและเห็นด้วยและจะทิ้งทัศนะอื่นๆ ที่ตรงข้าม ฉันจะไม่มองข้ามทัศนะของพวกเขาเหล่านั้น และหันไปเอาทัศนะของคนอื่นเป็นอันขาด แต่เมื่อมีทัศนะด้านนิติศาสตร์ที่มาจากอิบรอฮิม อันนะเคาะอีย์ อัชชะอฺบีย์ อิบนุสีรีน อะอฺฏออฺ สะอีด บิน มุสัยยับ ฉัน (จะไม่ปฏิบัติตามพวกเขา แต่) จะพยายามวิเคราะห์และแสดงความคิดเห็นเสมือนกับที่พวกเขาได้กระทำไว้” มีคนถามท่านว่า “เมื่อคำพูดของท่านเกิดค้านกับอัลกุรอาน แล้วจะทำอย่างไร” ท่านตอบว่า “พวกเจ้าจงละทิ้งคำพูดของฉัน” มีคนถามอีกว่า “แล้วถ้าคำพูดของท่านค้านกับสุนนะฮฺล๋ะ” ท่านตอบว่า “พวกเจ้าจงละทิ้งคำพูดของฉันเสีย” มีคนถามอีกว่า “แล้วถ้าคำพูดของท่านค้านกับทัศนะของบรรดาเศาะหาบะฮฺล๋ะ” ท่านตอบว่า “จงละทิ้งคำพูดของฉันเสีย”
2. เคาะบัรวาหิดตามทัศนะของอิหม่าม อบูฮะนีฟะฮฺ เคาะบัรวาหิด หมายถึง หะดีษที่มีสายรายงานที่ไม่ถึงระดับมุตะวาติร อิหม่าม อบูฮะนีฟะฮฺ ได้วางข้อแม้ต่างๆ ในการรับเอาเคาะบัรวาหิด เพื่อการวิเคราะห์ฮูก่มหรือหลักนิติศาสตร์ดังนี้คือ
3. การเปิดกว้างในเรื่องของกิยาส ในบรรดาหลักการวิเคราะห์นิติศาสตร์ของอิหม่าม อบูฮะนีฟะฮฺ คือท่านจะยึดเอาหลักการเปรียบเทียบหรือกิยาสมาเป็นบรรทัดฐานในการวิเคราะห์นิติศาสตร์อย่างกว้างขวาง เว้นแต่เรื่องที่เกี่ยวกับฮูดูดหรืออาญา และการชดเชยหรือกัฟฟาเราะฮฺ กล่าวกันว่าเหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะอิหม่าม อบูฮะนีฟะฮฺ เป็นคนที่ศึกษาและรายงานหะดีษน้อยกว่าคนอื่นเป็นอย่างมาก ถ้าจะเทียบกับบรรดาอิหม่ามคนอื่นๆ ประจวบกับความมัธยัสและท่าทีที่แข็งกร้าวในการรับหะดีษของท่านอันสืบเนื่อง มาจากการแพร่สะพัดของการโป้ปดในเมืองอิรักตอนนั้น
4. การเปิดกว้างในเรื่องของอิสติหฺสาน อิสติหฺสาน (การพิจารณาเห็นชอบด้วยในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยปัญญาเป็นบรรทัดฐาน) เป็นอีกวิธีหนึ่งในการวิเคราะห์และแสดงมติในด้านนิติศาสตร์อิสลามที่อิหม่าม อบูฮะนีฟะฮฺ ใช้อย่างกว้างขวางและมากกว่าหลักการกิยาสอีก เพราะทุกครั้งที่ท่านพบว่ามีอะซารฺหรือมีรายงานจากเศาะหาบะฮฺคนใดคนหนึ่ง ปฏิบัติในสิ่งที่ไม่มีระบุในอัลกุรอาน และหะดีษ ท่านก็จะยึดถืออะซารฺนั้นเป็นบรรทัดฐานในการตัดสิน หรือคำชี้ขาดด้านบัญญัติศาสนาทันทีพร้อมกับทิ้งกิยาส
5. การใช้หลักการหลีกเลี่ยง(หิยัล) หลักการหิยัลหรือการหาช่องโหว่ของบัญญัติศาสนาเพื่อหลีกเลี่ยงจากความคับแคบ ของฮูก่ม หรือยกเลิก หรือเปลี่ยนจากฮูก่มหนึ่ง สู่อีกฮูก่มหนึ่ง ที่เบากว่า เป็นต้น เป็นอีกหลักการหนึ่งที่อิหม่าม อบูฮะนีฟะฮฺ นำมาใช้ ซึ่งอุละมาอฺส่วนใหญ่ต่างไม่เห็นด้วยและตอบโต้อย่างแข็งขัน อาทิเช่น อัลบุคอรีย์ซึ่งท่านได้ใส่เรื่อง หิยัล ในหนังสือเศาะหีหฺของท่านเพื่อโต้คนที่ใช้หลักการหิยัลนี้
6. การแพร่สะพัดของมัซฮับฮานาฟีย์ มัซฮับฮานาฟีย์ เป็นมัซฮับที่แพร่สะพัดไปทั่วหล้าและปัจจุบันมัซฮับฮานาฟีย์ เป็นมัซฮับที่มีมุสลิมยึดเป็นแนวทางมากที่สุด ซึ่งจะกระจัดกระจายตามประเทศอิรัก ซีเรีย เลบานอน อินเดีย ปากีสถาน อัฟฆานิสถาน ตุรกี อัลบาเนีย ประเทศแถบอ่าวบัคข่าน กูกอซฺ และแถบอัฟริกาเป็นบางส่วน
7. หนังสือนิติศาสตร์ตามมัซฮับหะนะฟีย์ หนังสือนิติศาสตร์ หรือฟิกฮิที่ใช้เป็นบรรทัดฐานในการอ้างอิงของมัซฮับฮานาฟีย์สามารถแบ่งได้ดังนี้
8. ศัพท์เทคนิคที่ใช้ในหนังสือมัซฮับหะนะฟีย์
#ปราชญ์ในนิติศาสตร์อิสลาม_Islamic_Society_Online
เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองในอิรัก อำนาจการปกครองได้เปลี่ยนจากราชวงค์อัลอุมะวียะฮฺเป็นราชวงค์อัลอับบาซียะฮฺ คอลีฟะฮฺองค์ใหม่ที่ขึ้นครองอำนาจคือ อบูญะฟัร อัลมันซูร คอลีฟะฮฺอบูยะฟัร ก็พยายามให้ท่านระบายความรู้สึกต่างๆ อบูฮะนีฟะฮฺ ก็ได้แสดงความรู้สึก และความคิดเห็นของท่านในการปกครองของคอลีฟะฮฺองค์นี้ โดยท่านได้วิพากษ์วิจารณ์งานบริหารด้านต่างๆ การแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาของอิหม่าม อบูฮะนีฟะฮฺ สร้างความไม่พอใจแก่คอลีฟะฮฺอบูญะฟัรเป็นอย่างมาก ในที่สุดคอลีฟะฮฺอบูญะฟัรก็ได้ใช้วิธีเดียวกันกับคอลีฟะฮฺในราชวงค์ก่อน โดยได้นําตัวอิหม่าม อบูฮะนีฟะฮฺ จากนครกูฟะฮฺไปยังนครแบกแดดแล้วเสนอตำแหน่งผู้พิพากษาให้แต่ท่านปฏิเสธ ด้วยเหตุดัวกล่าว คอลีฟะฮฺอบูญะฟัรทรงสั่งให้ลงโทษอิหม่าม อบูฮะนีฟะฮฺ ด้วยการคุมขังท่านไว้โดยไม่มีกำหนดจนกระทั้งสิ้นชีพ
5. กฏเกณท์ในการวิเคราะห์หลักนิติศาสตร์
ท่านเอิหม่าม อบูฮะนีฟะฮฺ ป็นผู้ที่ได้รับมรดกด้านแนวคิดของสำนักคิดหรือสถาบันการศึกษาอิสลามแห่งเมืองกูฟะฮฺ ซึ่งมีการวางกฏเกณท์หรือหลักการศึกษาและวิเคราะห์หลักนิติศาสตร์อิสลาม ดังนี้ คือ
1. อาศัย อัลกุรอาน สุนนะฮฺ และทัศนะของบรรดาเศาะหาบะฮฺ ในการให้คำชี้ขาดด้านนิติศาสตร์เป็นหลักตามลำดับท่านกล่าวว่า “ฉันจะปฏิบัติตามอัลกุรอาน ตราบใดที่ฉันพบว่ามีระบุอยู่ในนั้น หากไม่แล้วฉันก็จะปฏิบัติตามที่ระบุอยู่ในสุนนะฮฺ หากฉันไม่พบอยู่ในทั้งสอง ฉันก็จะปฏิบัติตามทัศนะของบรรดาเศาะหาบะฮฺ ฉันจะเลือกเอาทัศนะที่ฉันพอใจและเห็นด้วยและจะทิ้งทัศนะอื่นๆ ที่ตรงข้าม ฉันจะไม่มองข้ามทัศนะของพวกเขาเหล่านั้น และหันไปเอาทัศนะของคนอื่นเป็นอันขาด แต่เมื่อมีทัศนะด้านนิติศาสตร์ที่มาจากอิบรอฮิม อันนะเคาะอีย์ อัชชะอฺบีย์ อิบนุสีรีน อะอฺฏออฺ สะอีด บิน มุสัยยับ ฉัน (จะไม่ปฏิบัติตามพวกเขา แต่) จะพยายามวิเคราะห์และแสดงความคิดเห็นเสมือนกับที่พวกเขาได้กระทำไว้” มีคนถามท่านว่า “เมื่อคำพูดของท่านเกิดค้านกับอัลกุรอาน แล้วจะทำอย่างไร” ท่านตอบว่า “พวกเจ้าจงละทิ้งคำพูดของฉัน” มีคนถามอีกว่า “แล้วถ้าคำพูดของท่านค้านกับสุนนะฮฺล๋ะ” ท่านตอบว่า “พวกเจ้าจงละทิ้งคำพูดของฉันเสีย” มีคนถามอีกว่า “แล้วถ้าคำพูดของท่านค้านกับทัศนะของบรรดาเศาะหาบะฮฺล๋ะ” ท่านตอบว่า “จงละทิ้งคำพูดของฉันเสีย”
2. เคาะบัรวาหิดตามทัศนะของอิหม่าม อบูฮะนีฟะฮฺ เคาะบัรวาหิด หมายถึง หะดีษที่มีสายรายงานที่ไม่ถึงระดับมุตะวาติร อิหม่าม อบูฮะนีฟะฮฺ ได้วางข้อแม้ต่างๆ ในการรับเอาเคาะบัรวาหิด เพื่อการวิเคราะห์ฮูก่มหรือหลักนิติศาสตร์ดังนี้คือ
- ต้องไม่ค้านกับการปฏิบัติของนักรายงาน หมายความว่า หากเนื้อหาของเคาะบัรวาหิดส่วนใดเกิดค้านกับการปฏิบัติของนักรายงานเคาะบัร ดังกล่าวก็ให้ยึดตามการปฏิบัติของนักรายงานนั้นไม่ใช่ปฏิบัติตามเคาะบัรที่ได้รายงานไว้ เพราะหากเขาไม่รู้ถึงจุดบกพร่องของเคาะบัรที่ได้รายงานไว้ แน่นอนเขาก็ต้องปฏิบัติตามนั้น
- ต้องไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ทุกคนจำเป็นต้องรู้ เพราะความจำเป็นดังกล่าวทำให้เป็นที่รู้จักกันในหมู่ชนและมีการรายงานที่มากมายอย่างแน่นอน ดังนั้นเมื่อมีเคาะบัรวาหิดเกี่ยวกับสิ่งดังกล่าวจึงถือว่าเป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้รายงานนั้นบกพร่อง
- ต้องไม่ค้านกับหลักการเปรียบเทียบ (กียาส) และนักรายงานเคาะบัรวาหิดต้องเป็นคนที่แตกฉานในด้านนิติศาสตร์ เมื่อใดที่เคาะบัรวาหิดเพียบพร้อมด้วยข้อแม้ทั้งสามดังกล่าว จึงจะสามารถยึดไว้เป็นหลักในการวิเคราะห์เพื่อให้คำชี้ขาดในด้านนิติศาสตร์ได้ ถึงแม้ว่าจะมีสายรายงานที่อ่อนก็ตาม และรายงานดังกล่าวจะมีน้ำหนักมากกว่ากิยาส และนี่คือบุคลิกเฉพาะของแนวคิด หรือวิธีการวิเคราะห์ด้านนิติศาสตร์ของมัซฮับฮะนาฟีย์ ซึ่งจะให้ความสำคัญกับหะดีษที่มีสายรายงานที่อ่อนมากกว่ากิยาส
3. การเปิดกว้างในเรื่องของกิยาส ในบรรดาหลักการวิเคราะห์นิติศาสตร์ของอิหม่าม อบูฮะนีฟะฮฺ คือท่านจะยึดเอาหลักการเปรียบเทียบหรือกิยาสมาเป็นบรรทัดฐานในการวิเคราะห์นิติศาสตร์อย่างกว้างขวาง เว้นแต่เรื่องที่เกี่ยวกับฮูดูดหรืออาญา และการชดเชยหรือกัฟฟาเราะฮฺ กล่าวกันว่าเหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะอิหม่าม อบูฮะนีฟะฮฺ เป็นคนที่ศึกษาและรายงานหะดีษน้อยกว่าคนอื่นเป็นอย่างมาก ถ้าจะเทียบกับบรรดาอิหม่ามคนอื่นๆ ประจวบกับความมัธยัสและท่าทีที่แข็งกร้าวในการรับหะดีษของท่านอันสืบเนื่อง มาจากการแพร่สะพัดของการโป้ปดในเมืองอิรักตอนนั้น
4. การเปิดกว้างในเรื่องของอิสติหฺสาน อิสติหฺสาน (การพิจารณาเห็นชอบด้วยในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยปัญญาเป็นบรรทัดฐาน) เป็นอีกวิธีหนึ่งในการวิเคราะห์และแสดงมติในด้านนิติศาสตร์อิสลามที่อิหม่าม อบูฮะนีฟะฮฺ ใช้อย่างกว้างขวางและมากกว่าหลักการกิยาสอีก เพราะทุกครั้งที่ท่านพบว่ามีอะซารฺหรือมีรายงานจากเศาะหาบะฮฺคนใดคนหนึ่ง ปฏิบัติในสิ่งที่ไม่มีระบุในอัลกุรอาน และหะดีษ ท่านก็จะยึดถืออะซารฺนั้นเป็นบรรทัดฐานในการตัดสิน หรือคำชี้ขาดด้านบัญญัติศาสนาทันทีพร้อมกับทิ้งกิยาส
5. การใช้หลักการหลีกเลี่ยง(หิยัล) หลักการหิยัลหรือการหาช่องโหว่ของบัญญัติศาสนาเพื่อหลีกเลี่ยงจากความคับแคบ ของฮูก่ม หรือยกเลิก หรือเปลี่ยนจากฮูก่มหนึ่ง สู่อีกฮูก่มหนึ่ง ที่เบากว่า เป็นต้น เป็นอีกหลักการหนึ่งที่อิหม่าม อบูฮะนีฟะฮฺ นำมาใช้ ซึ่งอุละมาอฺส่วนใหญ่ต่างไม่เห็นด้วยและตอบโต้อย่างแข็งขัน อาทิเช่น อัลบุคอรีย์ซึ่งท่านได้ใส่เรื่อง หิยัล ในหนังสือเศาะหีหฺของท่านเพื่อโต้คนที่ใช้หลักการหิยัลนี้
6. การแพร่สะพัดของมัซฮับฮานาฟีย์ มัซฮับฮานาฟีย์ เป็นมัซฮับที่แพร่สะพัดไปทั่วหล้าและปัจจุบันมัซฮับฮานาฟีย์ เป็นมัซฮับที่มีมุสลิมยึดเป็นแนวทางมากที่สุด ซึ่งจะกระจัดกระจายตามประเทศอิรัก ซีเรีย เลบานอน อินเดีย ปากีสถาน อัฟฆานิสถาน ตุรกี อัลบาเนีย ประเทศแถบอ่าวบัคข่าน กูกอซฺ และแถบอัฟริกาเป็นบางส่วน
7. หนังสือนิติศาสตร์ตามมัซฮับหะนะฟีย์ หนังสือนิติศาสตร์ หรือฟิกฮิที่ใช้เป็นบรรทัดฐานในการอ้างอิงของมัซฮับฮานาฟีย์สามารถแบ่งได้ดังนี้
- หนังสืออุศูลมัซฮับ มีทั้งหมด 6 เล่มซึ่งล้วนเป็นข้อเขียนของท่านมุหัมมัด บิน หะสัน อัชชัยบานีย์ ทั้งสิ้น ได้แก่หนังสือ อัลมับสูฏ อัซซิยาดาต อัลญามิอุศเศาะฆีรฺ อัสสัยรุศเศาะฆีรฺ อัลญามิอุลกะบีรฺ และอัสสัยรุลกะบีรฺ ต่อมา อัลหากิมอัชชะฮีดได้รวบรวมหนังสือทั้ง 6 เล่มไว้ในหนังสือของท่านที่มี ชื่อว่า อัลกาฟีย์ ซึ่งกลายเป็นหนังสือที่มุอฺตะมัดหรือน่าเชื่อถือที่สุดของมัซฮับฮานาฟีย์
- หนังสือที่มุอฺตะมัดหรือเป็นที่น่าเชื่อถือในการอิงมัซฮับ ที่สำคัญๆได้แก่ 1. อัลมับสูฏ ของ อัลสิร็อคสีย์ ซึ่งเป็นการชัรหฺหรืออธิบายขยายความหนังสืออัลกาฟีย์ 2.มุคตะศ็อร อัฏเฏาะหาวีย์ 3. มุคตะศ็อร อัลกิเราะคีย์
- หนังสือแม่บท หรือมุตูนที่มุอฺตะมัด ได้แก่ 1. วิกอยะตุรริวายะฮฺ ฟี มะสาอิลิลฮิดายะฮฺ ของ ตาญุชชะรีอะฮฺ อัลอับบาดีย์ หรือป็นที่รู้จักกันในนาม อัลวิกอยะฮฺ 2. มุคตะศ็อรฺอัลกุดูรีย์ 3. กันซุดดะกออิก ของ อบุลบะเราะกาต อันนะสะฟีย์
- หนังสือที่ให้ความสำคัญด้านหลักฐานและทัศนะเปรียบเทียบ ได้แก่ 1. บะดาอิอุศเศาะนาอิอฺ ของ อัลกาสานีย์ 2. ฟัตหุลเกาะดีร ของ อิบนุลฮัมมาม 3. อัลลุบบาบ ฟิลญัมอิ บัยนัสสุนนะฮฺ วัลกิตาบ ของ อัลค็อซฺเราะญีย์ 4. นัศบุรรอยะฮฺ ฟีตัครีจ อะหาดีษุลฮิดายะฮฺ ของ ซัยละอีย์
8. ศัพท์เทคนิคที่ใช้ในหนังสือมัซฮับหะนะฟีย์
- อัลอะอิมมะฮฺ อัลอัรบะอะฮฺ หมายถึง อบูฮะนีฟะฮฺ มาลิก ชาฟิอีย์ อะหมัด
- อะอิมมะตุนา อัษษะลาษะฮฺ หมายถึง อบูฮะนีฟะฮฺ อบูยูซุฟ และมุหัมมัด
- อัชชัยคอน หมายถึง อบูฮะนีฟะฮฺ และอบูยูสุฟ
- อัฏเฏาะเราะฟัยนฺ หมายถึง อบูฮะนีฟะฮฺ และมุหัมมัด
- อัศศอหิบาน หมายถึง อบูยูสุฟ และมุหัมมัด
- อัศศ็อดรุลเอาวัล หมายถึง เศาะหาบะฮฺ ตาบิอีน และอัตบาอุตตาบิอีน
- อัสสะลัฟ หมายถึง บรรดาฟุเกาะฮาอฺมัซฮับฮานาฟีย์รุ่นแรกจนถึงมุหัมมัด บิน หะสัน
- อัลเคาะลัฟ หมายถึง บรรดาฟุเกาะฮาอฺมัซฮับฮานาฟีย์หลังจากมุหัมมัดจนถึง ชัมชุลอะอิมมะฮฺอัลหํลวานีย์
- อัลมุตะอัคคิรุน หมายถึง บรรดาฟุเกาะฮาอฺมัซฮับฮานาฟีย์หลังจากชัมชุลอะอิมมะฮฺอัลหํลวานีย์ จนถึง หะฟิซุดดีน อัลบุคอรีย์
- อัลอุสต๊าส หมายถึง อับดุลลอฮฺ บิน มุหัมมัด อัสสุบุซฺมูนีย์
- บุรฮานุลอิสลาม หมายถึง เราะฎียุดดีน อัสสิร็อคสีย์
- บุรฮานุลอะอิมมะฮฺ หมายถึง อับดุลอะซีซ บิน มาซัฮฺ ซึ้งบางครั้งจะเรียกว่า “อัศศ้อดรุลกะบีร”
- ตาญุชชะรีอะฮฺ หมายถึง มะหมูด บิน มุหัมมัด
- ชัมชุลชะรีอะฮฺ หมายถึง อัสสิร็อคสีย์
- ฟัครุลอิสลาม หมายถึง อะลี บิน มุหัมมัด อัลบัซดะวีย์
#ปราชญ์ในนิติศาสตร์อิสลาม_Islamic_Society_Online
جزاك الله خيرا
ตอบลบجزاك الله خيرا
ลบ