10 เมืองต้องห้ามพลาด บนเส้นทางสายแพรไหม
เส้นทางสายไหมคือเส้นทางการสายโบราณที่นักเดินทางในสมัยก่อนใช้เป็นทางนำสินค้าไปมาระหว่างทวีปเอเชียและทวีปยุโรป ทำให้เกิดมีความเจริญ รุ่งเรืองอย่างมากตลอดทาง ผู้คนที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ไม่ว่าจะเป็นชาวเติร์กที่ตุรกี ชาวเปอร์เซียที่อิหร่าน หรือชนเผ่าเร่ร่อนคีร์กิซที่คีร์กิซสถานชาวมุสลิมอุยกูร์ที่นับถือศาสนาอิสลามในจีนแผ่นดินใหญ่ และชนชาติอื่นๆที่มีมีอยู่มากมายทำให้เส้นทางสายนี้ยิ่งมีความขลังและทรงคุณค่าแก่การมาเยือนมากยิ่งขึ้น อีกทั้งเส้นทางสายไหมยังพาดผ่านจุดที่เคยเป็นดินแดนของการกำเนิดศาสนาสำคัญของโลกอย่างอิสลามที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมตลอดเส้นทางสายนี้อย่างแยกไม่ออก ตอนนี้ผมจะขอนำเสนอ 10 เมืองน่าสนใจที่พลาดไม่ได้อย่างยิ่งตลอดทางสายนี้ครับ
1. อิสตันบูล (Istanbul) ประเทศตุรกี
เมืองหลวงของจักรวรรดิโรมันตะวันออก ที่มีชื่อเดิมว่า “คอนสแตนติโนเปิล” (Constatinople) แห่งนี้ตั้งอยู่ตรงจุดแบ่งเขตระหว่างทวีปยุโรปและเอเชียอย่างพอดิบพอดี อิสตันบูลจึงกลายเป็นชุมทางสุดท้ายที่สำคัญอย่างยิ่งกับพ่อค้าที่เดินทางรอนแรมมาจากจีน และกลายเป็นจุดเริ่มต้นอันยิ่งใหญ่สำหรับเหล่าพ่อค้าที่กำลังเสี่ยงชีวิตไปจีนเช่นเดียวกัน เมืองนี้จึงกลายเบ้าหลวมของหลายๆอารยธรรมไม่ว่าจะของศาสนาคริสต์หรืออิสลาม ดั่งจะเห็นได้จากสถาปัตยกรรมที่มีการผสมผสานของทั้งสองศาสนาในพื้นที่เดียวกันเช่น พิพิธภัณฑ์ฮาเยีย โซเฟีย (Hagia Sophia) และมัสยิดสุลต่านอาห์เหม็ด (Sultanahmet) หรือสุเหร่าสีน้ำเงินคือที่สุดแห่งสถาปัตยกรรมที่เป็นตัวแทนความเจริญรุ่งเรืองของเมืองอิสตันบูลได้เป็นอย่างดี
2. เกอเรอเม (Goreme) ประเทศตุรกี
เมืองเล็กๆแห่งนี้ เป็นที่โด่งดังไปทั่วโลกเนื่องเป็นตั้งของกลุ่มภูเขารูปทรงประหลาดที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเมื่อหลายล้านปีก่อน ทำให้เกิดลาวาและเถ้าถุลีที่จำนวนมหาศาลกระจายไปทั่วบริเวณและทับถมกลายเป็นภูมิประเทศอันพิลึกขนาดกว้างใหญ่ไพศาล อีกทั้งผู้คนยังปรับตัวให้เข้ากับภูมิประเทศด้วยการไปเจาะภูเขาเหล่านี้ให้กลายเป็นถ้ำแล้วไปสร้างบ้านไว้ข้างใน จนถึงขนาดไปสร้างเมืองใต้ดินเลยครับ เรียกชื่อ “เกอเรเม” อาจจะยังไม่คุ้นเคย แต่ถ้าบอกว่าที่นี่คือ “คัปปาโดเกีย” รับรองเลยว่าหลายคนต้องเคยได้ยินแน่นอนครับ
กิจกรรมแสนพิเศษสำหรับเมืองนี้คือ “การนั่งบอลลูนชมพระอาทิตย์ขึ้น” ท่ามกลางดินแดนสุดอัศจรรย์แห่งนี้นี่เอง ในวันที่ท้องฟ้าเปิด เราจะเห็นมวลหมู่มหาบอลลูนกว่า 100 ลูกลอยอยู่บนท้องฟ้า
3. ทบิลิซิ (Tbilisi) ประเทศจอร์เจีย
เมืองหลวงของประเทศจอร์เจียที่มีศาสนาคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์เป็นศาสนาประจำชาติ ทำให้เมืองนี้อุดมไปด้วยโบสถ์ที่สวยงามมากมาย ผิดกับเมืองอื่นๆในเส้นทางสายไหมที่มักจะเป็นมัสยิด บ้านเรือนผู้คนสร้างในสไตล์ยุโรป ด้วยความที่เคยเป็นรัฐปกครองในโซเวียตมาก่อน การมาเที่ยวที่เมืองนี้จึงถือว่าอาจจะเป็นการมาเที่ยวรัสเซียแบบย่อมๆเลยก็ได้ครับเมืองหลวงของประเทศจอร์เจียที่มีศาสนาคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์เป็นศาสนาประจำชาติ ทำให้เมืองนี้อุดมไปด้วยโบสถ์ที่สวยงามมากมาย ผิดกับเมืองอื่นๆในเส้นทางสายไหมที่มักจะเป็นมัสยิด บ้านเรือนผู้คนสร้างในสไตล์ยุโรป ด้วยความที่เคยเป็นรัฐปกครองในโซเวียตมาก่อน การมาเที่ยวที่เมืองนี้จึงถือว่าอาจจะเป็นการมาเที่ยวรัสเซียแบบย่อมๆเลยก็ได้ครับ
4. บากู (Baku) ประเทศอาเซอร์ไบจาน
“บากู” คือเมืองหลวงของประเทศอาเซอร์ไบจาน สิ่งก่อสร้าง ถนนหนทาง และสาธารณูปโภค จำนวนมากถูกสร้างสรรค์จากผลผลิตรายได้จากน้ำมันที่เป็นรายได้หลักของประเทศ ทำให้สถาปัตยกรรมที่นี่ดูแปลกตาไปจากเมืองอื่นๆทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น “ตึกเปลวเพลิง”(Flames tower) ที่สร้างรูปร่างให้คล้ายกับเปลวไฟแล้วติดหลอดไฟไว้คอยส่องประกายไปทั่วเมืองยามค่ำคืน หรือศูนย์วัฒนธรรม "Heydar Aliyev" ที่สร้างขึ้นจากแนวคิดของของเหลวที่สามารถไหหลอมหลวมความหลากหลายทางวัฒนธรรมเอาไว้
5. อิสฟาฮาน (Isfahan) ประเทศอิหร่าน
"อิสฟาฮาน” คือเมืองที่ทุกคนยกมือให้ตรงกันว่าเป็นเมืองที่ “สวยที่สุด” ของประเทศอิหร่านในปัจจุบัน ไม่ใช่เพียงแค่สถาปัตยกรรมเท่านั้นที่สวย ผู้คนอัธยาศัยไมตรีก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เพิ่มเสน่ห์ให้กับที่นี่ คนเปอร์เซียในสมัยก่อนให้ฉายาของเมืองว่า “ครึ่งหนึ่งของโลก อยู่ที่ อิสฟาฮาน” ฟังชื่อดูก็พอจะคิดตามได้ถึงความยิ่งใหญ่เหลือคณานับของเมืองหลวงแห่งอาณาจักรเปอร์เซียโบราณแห่งนี้กันแล้ว ไม่ว่าจะเป็น “จัตุรัสอิหม่าม” (Imam square) หนึ่งในจัตุรัสที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก หรือ “มัสยิดอิหม่าน” (Imam mosque) ก็เป็นหนึ่งในเพชรน้ำเอกแห่งสถาปัตยกรรมเปอร์เซียเช่นเดียวกัน
6. อาชกาบัต (Ashgabat) ประเทศเติร์กเมนิสถาน
ถึงแม้ประเทศ “เติร์กเมนิสถาน” จะไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของชาวโลกมากนัก แต่เมืองหลวงของดินแดนนี้ที่ชื่อว่า “อาชกาบัต” กลับเป็นที่รู้จักของ ชื่อเมืองมีความหมายว่า สถานที่ราชการทุกแห่งถูกสร้างขึ้นด้วยหินอ่อนสีขาวทั้งหมด บ้านเรือนผู้คนก็เป็นคอนโดมิเนียมสีขาวเช่นเดียวกัน ฉากหลังของเมืองคือเทือกเขาหิมะสูงเทียมฟ้าที่ให้บรรยากาศกลมกลืนกับสีของอาคารบ้านเรือนเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเห็นจะไม่พ้น อาคารทำเนียบประธานาธิบดีและศูนย์ราชการกระทรวงต่างๆที่ดูๆ ที่สวยและเนี๊ยบอย่างสุดๆ แต่ด้วยมาตรการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุดก็เป็นอุปสรรคสำหรับการท่องเที่ยวเมืองนี้อยู่ไม่น้อย
7. บูคารา (Bukhara) ประเทศอุซเบกิซสถาน
อดีตชุมทางที่สำคัญบนเส้นทางสายไหม เมืองโอเอซิสที่ตั้งอยู่กลางทะเลทรายเคยเป็นจุดแวะพักของเหล่าคาราวานพ่อค้าจากทั้งสองทวีป เนื่องจากตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างทางพอดี อีกทั้งที่นี่ยังเป็นศูนย์กลางการศึกษาของศาสนาอิสลามในเอเชียกลางอีกด้วย บ้านเรือนในเขตเมืองเก่ายังคงได้รับการอนุรักษ์ไว้ ผู้คนยังคงดำเนินชีวิตไม่แตกต่างจากอดีต เวลาเราเดินอยู่ในเมืองยังให้ความรู้สึกย้อนยุคสู่วันวาน ทำให้เมืองบูคาราแห่งนี้ไม่แตกต่างไปจากพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่ยังมีลมหายใจอยู่
8. ซามาร์คันด์ (Samarkand) ประเทศอุซเบกิซสถาน
ถ้าจะเรียกเมือง “ซามาร์คันด์” ว่าเป็นเพชรน้ำเอกแห่งทางสายไหมก็ไม่ผิดนัก ประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่าสองพันปีทำให้เมืองนี้อุดมไปด้วยกลิ่นอายโบราณ สถาปัตยกรรมของศาสนาอิสลามแห่งเอเชียกลางและความเจริญรุ่งเรืองทางการค้าบนเส้นทางสายนี้เจริญรุ่งเรืองที่สุดก็ที่เมืองนี้ สิ่งที่เรียกได้ว่าสุดยอดของสุดยอดถ้าได้มา คือ “เรจิสถาน” (Registan) ซึ่งเป็นอดีตจุดศูนย์กลางของเมือง โดยจัตุรัสจะถูกล้อมรอบด้วยมาดราซา หรือโรงเรียนสอนศาสนาทั้ง 3 ด้าน การได้มายืนอยู่ตรงกลางจัตุรัสให้ความรู้สึกไม่แตกต่างจากตอนที่ผมยืนอยู่ต่อหน้า “ทัชมาฮาล” ที่อินเดียเลยครับ
9. คัชการ์ (Kashgar) ประเทศจีน
“คัชการ์” (Kashgar) คืออีกเมืองโอเอซิสกลางทะเลทราย ตั้งอยู่ในจุดทางทิศตะวันตกที่สุดของประเทศ เป็นที่อยู่ของชาวอุยกูร์ที่มีขนบธรรมเนียมและประเพณีแตกต่างจากชาวจีนโดยทั่วไปอย่างมาก รถลาที่วิ่งไปมาอย่างอิสระบนท้องถนน คนเดินเข้ามัสยิดทุกวันศุกร์ หรือกระทั่งตลาดค้าสัตว์ที่จัดอย่างยิ่งใหญ่ในทุกๆวันอาทิตย์ของแต่ละสัปดาห์ ทำให้เมืองคัชการ์เป็นหนึ่งในเมืองที่มีชีวิตชีวามากที่สุดบนเส้นทางสายไหม และมีความแตกต่างจากเมืองหลวงปักกิ่งอย่างสุดขั้ว
10. ซีอาน (Xian) ประเทศจีน
จุดสิ้นสุดแห่งเส้นทางการเดินทางหลายหมื่นกิโลเมตรจากทวีปยุโรปมาสิ้นสุดที่ซีอาน เมืองที่มีอายุเก่าแก่หลายพันปี มายิ่งใหญ่ถึงขีดสุดในรัชสมัยของจักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้ เป็นที่ตั้งของสุสานทหารดินเผาที่ใช้แรงงานการสร้างอย่างมหาศาล หุ่นดินเผาทุกคนมีขนาดเท่าคนจริง หน้าตาไม่ซ้ำแบบกันเลย ยิ่งทำให้เมืองแห่งนี้ดูน่าเกรงขามยิ่งขึ้นไปอีก กำแพงเมืองโบราณในสมัยราชวงศ์หมิงยังคงรักษาไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบซึ่งเราสามารถขึ้นไปเดินหรือปั่นจักรยานบนกำแพงเมืองที่มีรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสความยาว 16 กิโลเมตรนี้ได้อีกด้วย
ปัจจุบันทางการจีนได้ทำการปรับแต่งเมืองให้น่าเดินเที่ยวเป็นอย่างมาก ทางเดินเท้าขนาดใหญ่ ระบบรถไฟใต้ดินและรถเมล์ที่ครอบคลุม ทำให้เมืองซีอานเป็นเมืองน่าเดินทางไปเยือนอย่างมาก
ที่มา : https://pantip.com/topic/33786162
#อารยธรรมอิสลาม_Islamic_Society_Online
#ประชาชาติอิสลาม_Islamic_Society_Online
Islamic Society Online
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น