มุสตอฟา เคมาล อตาร์เตอร์ค ยิวแอบแฝงผู้ทำลายล้างอาณาจักรอิสลามอุษมานียะห์
มุสตอฟา เคมาล อตาร์เตอร์ค ได้ชื่อว่าบิดาแห่งยุคทันสมัยของตุรกี แต่จริงๆแล้วเขาคือผู้ที่โค่นล้มอาณาจักรอิสลามอุษมานียะห์ ในปีค.ศ.1924 ทำให้อาณาจักรอิสลามที่ยืนยงมาถึง 595 ปีต้องล่มสลายลง
ฉายาอตาร์เตอร์ค มีความหมายว่า บิดาของตุรกี เขาเกิดเมื่อปี ฮ.ศ.1299(ค.ศ.1880) ที่เมืองซาโลนีก้า ประเทศกรีก ซึ่งขณะนั้นเป็นเมืองขึ้นของคอลีฟะห์อุษมานียะห์ พ่อของเขาชื่อว่า อลี รีฎอ อัฟฟันดี้ ซึ่งทำงานเป็นศุลกากร ผู้ช่วยคนสนิทของมุสตอฟา เคมาล กล่าวว่า
“มุสตอฟา มาจากเชื้อสายชาวยิว ปู่ย่าตายายของเขา คือ ยิวที่อพยพมาจากสเปน มาอยู่ที่ซาโลนีก้า"
ยิวกลุ่มนี้มีชื่อเรียกว่า ยิวเดานามะห์ ซึ่งมีอยู่ 600 ครอบครัว พวกเขารับอิสลามในปี 1683 แต่ว่าพวกเขายังคงนับถือศาสนายาฮูดีอย่างลับๆ นั่นหมายความว่า มุสตอฟา เคมาล เป็นอิสลามแต่เพียงในนาม แต่ที่จริงแล้วเขาเป็นยิว
เขาได้เข้าเรียนในโรงเรียนทหารตั้งแต่อายุ 12 ปี และในปี 1855 เขาได้เข้าวิทยาลัยวิชาทหารที่ โมนาซิตาร์ ปี 1905 เขาเข้าเรียนต่อทางทหารอีกที่อิสตันบูลและจบในปี 1907 หลังจากนั้นเขาได้เข้าประจำการที่ค่ายทหารบาตัลเลี่ยน ที่ซาโลนีก้า
ที่นี่เองที่เขาได้เริ่มปลุกปั่นเพื่อนทหารให้มีความคิดต่อต้านระบบคอลีฟะห์และการปกครองระบบอิสลาม
เขาได้เป็นนายกรัฐมนตรีของตุรกี โดยความช่วยเหลือของอังกฤษ ในสมัยของเขาได้ทำการเปลี่ยนแปลงอิสลามในตุรกี อันเป็นประวัติศาสตร์ที่ด่างดำต่ออิสลาม สิ่งที่เขาทำคือ
- ให้ผู้หญิงคลุมฮิญาบได้ แต่มีเงื่อนไขคือต้องนุ่งกะโปรง
- ให้ผู้ชายนุ่งกางกงขายาว แต่มีเงื่อนไข คือ ต้องผูกเน็คไทค์และใส่หมวกปีก(แบบตะวันตก)
- เขากล่าวว่าประเทศชาติจะทันสมัยไม่ได้ หากคนในชาติยังแต่งกายแบบโบราณ(แบบอิสลาม)
- อนุญาติให้มีการดื่มสุราได้อย่างเปิดเผย
- ให้พิมพ์อัลกุรอานเป็นภาษาตุรกี โดยไม่มีภาษาอาหรับ
- เปลี่ยนการอาซานเป็นภาษาตุรกี
- เปลี่ยนแปลงในภาษาตุรกี โดยให้ตัดคำทับศัพท์ภาษาอาหรับและภาษาเปอร์เชียออกไป
- นำเอาสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกมาใช้แทนสถาปัตยกรรมแบบอิสลาม
เขาได้พูดต่อหน้าสาธารณชนในเมืองเบอลิเกอร์ซิร ว่าจำเป็นต้องแยกศาสนาออกจากเรื่องทางโลก รวมถึงการเมือง และจำเป็นต้องลบล้างศาสนาออกไปเพื่อให้เกิดความเจริญ โดยสรุปในคำปราศรัยของเขา คือ “ไม่มีศาสนาในการเมือง และก็ไม่มีการเมืองในศาสนา” และถอดเอาศาสนาอิสลามออกจากการเป็นศาสนาประจำชาติ
- เขาสร้างระบบการแต่งงานแบบจดทะเบียนตามกฎหมายตะวันตก
- เปลี่ยนมัศยิดอยาโซเฟีย ให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ และยังเปลี่ยนมัศยิดหลายแห่งให้กลายเป็นโบสถ์
- ปิดมัศยิดและห้ามทำการละหมาดรวมกันเป็นญามาอะห์
- เลิกกระทรวงเอากอฟ(สวัสดิการ)และปล่อยทิ้งเด็กกำพร้าและอนาถา รวมถึงคนยากจน
- เลิกการรับมรดกตามกฎหมายอิสลาม
- ยกเลิกปฎิทินอิสลามและเปลี่ยนแปลงตัวเลขภาษาอาหรับเป็นตัวเลขภาษาลาติน
การตายของเคมาล อตาร์เตอร์ค
เขาป่วยเป็นโรคประหลาดทำให้คันไปทั่วร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ทำให้ความดันโลหิตสูง และมีไข้ขึ้นตลอดเวลา เขามีความร้อนขึ้นสูงตลอด จนต้องสั่งให้ดับเพลิงมาฉีดน้ำที่บ้านเขาตลอด 24 ชั่วโมง และสั่งให้คนรับใช้นำเอาน้ำแข็งมาใส่ไว้ในผ้าห่มของเขาตลอด
มหาบริสุทธิ์พระองค์อัลเลาะฮ์ ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไรก็ตาม ความร้อนนั้นก็ไม่ลดลงเลย จนกระทั่งเขากรีดร้องจนได้ยินไปทั่วพระราชวัง คนใช้ได้นำเขาใส่ในเรือและไปทิ้งไว้กลางทะเล โดยหวังว่าจะทำให้เขาเย็นลงบ้าง
ในที่สุดเมื่อวันที่ 26 กันยายน 1938 เขาได้สลบไปเป็นเวลา 48 ชั่วโมง เนื่องจากความร้อนขึ้นสูงเกินไป หลังจากนั้นเขาฟื้นขึ้นมาอีกทีแต่ก็สูญเสียความทรงจำ ในวันที่ 9 พฤศจิกายน 1938 เขาได้สลบไปอีกเป็นเวลา 36 ชั่วโมง จนในที่สุดเขาได้เสียชีวิตลง
ในตอนที่เขาเสียชีวิต ไม่มีสักคนที่มาอาบน้ำศพให้เขา กาฝั่น หรือมาละหมาดให้เขา
ยิ่งไปกว่านั้นอัลเลาะฮ์ได้ทำการอาซาบลงโทษ ในตอนที่มายัตของเขาจะถูกฝัง แผ่นดินไม่ยอมรับ(ไม่ทราบชัดเจนว่าเป็นแบบใด) ด้วยความที่ไม่รู้จะทำอย่างไรกับศพของเขา จึงได้ทำการแช่แข็งไว้และเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ชื่อว่า เอทนากราฟฟี่ เป็นเวลาถึง 15 ปี จนกระทั่งปี 1953 จึงได้นำศพของเขามาฝังอีกครั้งหนึ่ง แต่อัลเลาะฮ์ก็ได้แสดงพลังอำนาจอีกครั้งหนึ่งแผ่นดินไม่ยอมรับศพของเขา เมื่อหมดความสามารถจึงได้นำศพของเขาไปยังภูเขาลูกหนึ่งและก่อหินอ่อนและฝังไว้ใต้หินอ่อนนั้นที่หนักถึงถึง 44 ตัน
บรรดาอุลามะห์ในตุรกีได้กล่าวว่าอย่าว่าแต่แผ่นดินตุรกีเลย แผ่นดินทั่วทั้งโลกนี้ก็ไม่ยอมรับศพของเคมาล อตาร์เติร์ค
นั่นคืออาซาบสำหรับคนที่ต่อต้านศาสนาของอัลเลาะฮ์ ยังไม่รวมถึงการลงโทษที่เขาจะได้รับในวันอาคิเราะห์ นั่นคือสิ่งที่สาสมสำหรับคนมุรตัดเคมาล อตาร์เติร์ค หวังว่าเรื่องนี้คงเป็นอุธาหรณ์สำหรับผู้ที่คิดจะต่อต้านอิสลามได้สังวรณ์ไว้
Cr. Yasin annab
แหล่งที่มา : คำสอน อิสลาม
#คติเตือนใจ_Islamic_Society_Online
Islamic Society Online
มหาบริสุทธิ์พระองค์อัลเลาะฮ์ ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไรก็ตาม ความร้อนนั้นก็ไม่ลดลงเลย จนกระทั่งเขากรีดร้องจนได้ยินไปทั่วพระราชวัง คนใช้ได้นำเขาใส่ในเรือและไปทิ้งไว้กลางทะเล โดยหวังว่าจะทำให้เขาเย็นลงบ้าง
ในที่สุดเมื่อวันที่ 26 กันยายน 1938 เขาได้สลบไปเป็นเวลา 48 ชั่วโมง เนื่องจากความร้อนขึ้นสูงเกินไป หลังจากนั้นเขาฟื้นขึ้นมาอีกทีแต่ก็สูญเสียความทรงจำ ในวันที่ 9 พฤศจิกายน 1938 เขาได้สลบไปอีกเป็นเวลา 36 ชั่วโมง จนในที่สุดเขาได้เสียชีวิตลง
ในตอนที่เขาเสียชีวิต ไม่มีสักคนที่มาอาบน้ำศพให้เขา กาฝั่น หรือมาละหมาดให้เขา
ยิ่งไปกว่านั้นอัลเลาะฮ์ได้ทำการอาซาบลงโทษ ในตอนที่มายัตของเขาจะถูกฝัง แผ่นดินไม่ยอมรับ(ไม่ทราบชัดเจนว่าเป็นแบบใด) ด้วยความที่ไม่รู้จะทำอย่างไรกับศพของเขา จึงได้ทำการแช่แข็งไว้และเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ชื่อว่า เอทนากราฟฟี่ เป็นเวลาถึง 15 ปี จนกระทั่งปี 1953 จึงได้นำศพของเขามาฝังอีกครั้งหนึ่ง แต่อัลเลาะฮ์ก็ได้แสดงพลังอำนาจอีกครั้งหนึ่งแผ่นดินไม่ยอมรับศพของเขา เมื่อหมดความสามารถจึงได้นำศพของเขาไปยังภูเขาลูกหนึ่งและก่อหินอ่อนและฝังไว้ใต้หินอ่อนนั้นที่หนักถึงถึง 44 ตัน
บรรดาอุลามะห์ในตุรกีได้กล่าวว่าอย่าว่าแต่แผ่นดินตุรกีเลย แผ่นดินทั่วทั้งโลกนี้ก็ไม่ยอมรับศพของเคมาล อตาร์เติร์ค
นั่นคืออาซาบสำหรับคนที่ต่อต้านศาสนาของอัลเลาะฮ์ ยังไม่รวมถึงการลงโทษที่เขาจะได้รับในวันอาคิเราะห์ นั่นคือสิ่งที่สาสมสำหรับคนมุรตัดเคมาล อตาร์เติร์ค หวังว่าเรื่องนี้คงเป็นอุธาหรณ์สำหรับผู้ที่คิดจะต่อต้านอิสลามได้สังวรณ์ไว้
Cr. Yasin annab
แหล่งที่มา : คำสอน อิสลาม
#คติเตือนใจ_Islamic_Society_Online
Islamic Society Online
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น