product :

วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ทำความเข้าใจเรื่อง "งานเมาลิดนบี" โดยอาจารย์ อาลี เสือสมิง


ทำความเข้าใจเรื่อง "งานเมาลิดนบี" โดยอาจารย์ อาลี เสือสมิง



ทำความเข้าใจเรื่อง "งานเมาลิดนบี" โดยอาจารย์ อาลี เสือสมิง


บาแลสะและหมัด ซ.พัฒนาการ 20 กทม. 
วันพุธที่ 29 พ.ย. 2560 ( 11 รอบีอุ้ลเอาวาล ฮ.ศ.1439 )


#นานาทัศนคติ_Islamic_Society_Online
Islamic Society Online



read more "ทำความเข้าใจเรื่อง "งานเมาลิดนบี" โดยอาจารย์ อาลี เสือสมิง"

วันจันทร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

"ญิน" ชีวิตที่เร้นลับ

"ญิน" ชีวิตที่เร้นลับ



มนุษย์มองเห็นญินได้หรือไม่

(แปลและเรียบเรียง มูฮำหมัดกามัล อัลฟัจรีย์)




ญิน เป็นสิ่งถูกสร้างชนิดหนึ่ง ที่อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงสร้างขึ้น ซึ่งผู้ศรัทธาจะต้องเชื่อว่า ญินนั้นมีจริง เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซ.บ.)  ทรงยืนยันไว้ในคัมภีร์ของพระองค์ว่า

“และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า”

(อัซซาริยาต : 56)

โองการข้างต้น อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงยืนยันไว้ว่า พระองค์ทรงสร้างญินมา และญินนั้นมีจริง ซึ่งจุดประสงค์ที่อัลลอฮฺ (ซ.บ.)  ทรงสร้างญิน คือ การเครพภัคดีต่อพระองค์ และยังมีโองการอื่นๆ จากอัลกุรอาน รวมถึงหะดีษของท่านนบี (ซ.ล.)  ที่ยืนยันถึงการมีอยู่จริงของญิน

ท่านรอซูลุลลอฮฺ (ซ.ล.)  กล่าวว่า

“มาลาอีกะฮฺถูกสร้างมาจากรัศมี ญินถูกสร้างมาจากเปลวไฟ และอาดัมถูกสร้างมาจากดิน”

(หะดีษศอหี้ห บันทึกโดยมุสลิม)


ซัยคุลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะห์ กล่าวว่า “ไม่มีความขัดแย้งใดๆ ในหมู่มุสลิม ในเรื่องของการมีอยู่จริงของญิน”

(มัจมูอฺ ฟาตาวา)


เดิมทีแล้วมนุษย์ไม่สามารถที่จะมองเห็นรูปร่างเดิมของญินได้ เพราะเหตุนี้พวกมันได้ถูกเรียกว่า อัลญิน [الجن] ซึ่งมาจากคำว่า ญันนา-ญาญุนนู [ جَنَّ - يَجُنُّ ] ซึ่งมีความหมายว่า ปกปิด ดังที่อิบนุ ฟาริส ได้ระบุในพจนานุกรมของท่าน ว่า “ญิน ถูกเรียกว่าญินก็อันเนื่องมาจากว่า มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นพวกมัน”

(มะกอมิส ลุฆอหฺ)


อัลลอฮฺ (ซ.บ.)  ตรัสความว่า

“โอ้ลูกหลานของอาดัม จงอย่าให้ซัยตอนหลอกลวงพวกเจ้า เช่นเดียวกับที่มันได้ให้พ่อแม่ของพวกเจ้า ออกจากสวนสวรรค์มาแล้ว โดยที่มันได้ถอดเครื่องนุ่งห่ม ของเขาทั้งสองออกเพื่อที่จะให้เขาทั้งสองเห็นสิ่งที่น่าละอาย ของเขาทั้งสองแท้จริงทั้งมัน และพรรคพวกของมันมองเห็นพวกเจ้าโดยที่พวกเจ้าไม่เห็นพวกมัน”

(อัลอะอฺรอฟ : 27)


อิมาม อัลบัยฮากีย์ รายงานจากอัรรอบีอฺ อิมาม อัชชาฟีอีย์ กล่าวว่า “ผู้ใดแอบอ้างว่าเขาเห็นญิน พึงทราบเถิดว่าเขานั้นโกหก นอกเสียจากว่าเขาจะเป็นนบี ”

(มะนากิบุล อัชชาฟีอีย์)

อิมาม อิบนุ หะญัร อัลอัสกอลานีย์ ได้อธิบายคำพูดของอิมาม อัชชาฟีอีย์ ข้างต้นว่า “ท่าน หมายถึง ผู้ที่อ้างว่าเห็นรูปร่างเดิมของญิน แต่หากว่าเห็นรูปญินที่แปลงร่างก็ถือว่าไม่เข้าข่าย เพราะมีหลายสายรายงานที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่ญินจะแปลงร่าง ”

(ฟัตหุลบารีย์)

ดังนั้นมนุษย์สามารถมองเห็นญินที่แปลงร่างเป็นในรูปแบบของมนุษย์ สัตว์ หรือสิ่งอื่นๆ ด้วยหลักฐานต่อไปนี้

1. ท่านอบูฮูร็อยเราะฮฺ (รอดิยัลลอฮฺอันฮู) กล่าวว่า ฉันได้ถูกมอบหมายโดยท่านรอซูลุลลอฮฺ (ซ.ล.)  ให้ดูแลกองคลังซะกาตเดือนรอมอฎอน ได้มีบุคคลหนึ่งได้ขโมยอาหารจากกองคลังดังกล่าว

ฉันจึงได้จับเขาไว้ และกล่าวว่า “ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ฉันจะนำเจ้าไปพบท่านรอซูลุลลอฮฺ (ซ.ล.) ”

เขาจึงกล่าวว่า “ฉันจำเป็นจริงๆ ฉันมีครอบครัวที่กำลังต้องการอาหารนี้” ด้วยความสงสารฉันจึงปล่อยเขาไป

เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นถึงสามครั้ง และในครั้งที่สาม ฉันกล่าวว่า “ครั้งนี้ฉันจะไม่ปล่อยเจ้าอีก เจ้าสัญญาแล้วไม่ใช่หรือว่าจะไม่มาขโมยอีก”

ชายคนนั้นจึงขอร้องว่า “ปล่อยฉันไปเถิด ฉันจะบอกถึงประโยคที่จะเป็นประโยชน์แก่ท่าน”

ฉันจึงถามว่า “ประโยคอะไรเล่าที่จะเป็นประโยชน์แก่ฉัน”

เขาตอบว่า “เมื่อใดที่ท่านล้มตัวนอนท่านจงอ่าน อัลลอฮฺฮุลาอีลาฮาอิลลาฮูวัลอัยยุลก็อยยูม(อายะฮฺกุรซีย์)จนจบ อัลลอฮฺ จะทรงปกป้องท่านและจะอยู่กับท่านถึงเช้า ซัยตอนจะไม่เข้าใกล้ท่าน”

เมื่อได้ยินสิ่งดังกล่าวฉันจึงปล่อยเขาไป พอถึงเช้าฉันจึงนำเรื่องไปเล่าให้ท่านรอซูลุลลอฮฺ (ซ.ล.) ท่านถามว่า “ทำไมท่านถึงปล่อยเขา”

ฉันตอบว่า “ชายคนนี้ได้สอนให้ฉันอ่านอายะฮฺกุรซีย์ก่อนนอน”

ท่านรอซูลุลลอฮฺ (ซ.ล.) กล่าวว่า “ท่านรู้หรือไม่ว่า คนที่พูดโกหกถึงสามครั้งคือใคร”

ฉันตอบว่า “ไม่รู้”

ท่านรอซูลุลลอฮ์ (ซ.ล.) กล่าวว่า “มันคือซัยตอน ครั้งนี้มันพูดความจริงทั้งๆ ที่ดังเดิมแล้วมันคือจอมโกหก”

(หะดีษศอหี้ห บันทึกโดยบุคอรีย์และมุสลิม)


อิมาม อิบนุ หะญัร อัลอัสกอลานีย์ กล่าวว่า

“ดังเดิมแล้วนิสัยของซัยตอนนั้น คือ จอมโกหก และบางครั้งมันจะแปลงร่างเพื่อให้มนุษย์เห็นมัน ส่วนโองการของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ที่ว่า แท้จริงทั้งมัน และพรรคพวกของมันมองเห็นพวกเจ้าโดยที่พวกเจ้าไม่เห็นพวกมัน เฉพาะรูปร่างเดิมของพวกมัน ที่อัลลอฮฺทรงสร้าง”

(ฟัตหุลบารีย์)


2. ท่านอุบัย บิน กะอับ (รอดิยัลลอฮฺอันฮู) กล่าวว่า ฉันมีถุงใบหนึ่งที่บรรจุอินทผาลัม ซึ่งฉันมักตรวจสอบมันอยู่เสมอ แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง อินทผาลัม ในถุงมีเหลือน้อยมากและฉันก็ได้เห็นสัตว์ตัวหนึ่งที่มีความคลายคลึงเด็กผู้ชาย

ฉันจึงถามว่า “เจ้าเป็นญินหรือมนุษย์”

มันตอบว่า “ฉันเป็นญิน”

ฉันจึงถามว่า “สิ่งใดที่จะทำให้พวกเราห่างไกลจากความชั่วของเจ้า”

มันตอบว่า “อายะฮฺกุรซีย์ (ซูเราะฮฺอัลบากอเราะฮฺ : 255)”

ฉันจึงนำเรื่องนี้ไปเล่าแก่ท่านรอซูลุลลอฮฺ (ซ.ล.) ท่านกล่าวว่า “ญินตัวนี้พูดความจริง”

(หะดีษศอหี้ห บันทึกโดยนซาอีย์ ฮากิมและอิบนุ ฮิบบาน)


3. ท่านรอซูลุลลอฮฺ (ซ.ล.) กล่าวว่า

“แท้จริงแล้วที่นครมาดีนะห์นั้นมีญินกลุ่มหนึ่งที่ได้เข้ารับอิสลาม หากว่าพวกท่านเห็นส่วนหนึ่งจากพวกมัน ก็จงบอกให้มันออกไปภายในระยะเวลา 3 วัน หากว่าพวกมันยังแสดงตัวให้พวกท่านเห็น ก็จงฆ่ามันเถิด เพราะแท้จริงแล้วมันคือซัยตอน”

(หะดีษศอหี้ห บันทึกโดยมุสลิม)


4. ท่านอาลี บิน อบีฏ็อลหะห์ รายงานว่า ท่านอิบนิ อับบาส กล่าวว่า

“อิบลีส (ญิน) ได้มาในวันบัดรฺ ในฐานะนักรบ มันถือธง โดยมันแปลงร่างเป็นชายคนหนึ่งจากเผ่ามุดลิจ และแปลงร่างในรูปของสูรอเกาะฮฺ บิน มาลิก บิน ญุอฺซิม”

(ตัฟสีร อัลกุรอานุลอะซีม )


5. ท่านรอซูลุลลอฮฺ (ซ.ล.) กล่าวว่า

“งูที่มีพิษ เป็นรูปแปลงร่างของญิน เหมือนดั่งลิงและหมู ที่ถูกเปลี่ยนร่างมาจากบนีอิสรออีล”

(หะดีษศอหี้ห บันทึกโดยอิบนุ ฮิบบาน และซัยคฺอัลบานีย์ ก็กล่าวว่าเป็นหะดีษศอหี้ห เช่นเดียวกัน)


6. ท่านรอซูลุลลอฮฺ (ซ.ล.) กล่าวว่า

“ญินมีอยู่สามชนิด

หนึ่ง คือ ญินที่มีปีก พวกมันจะบินอยู่ในอากาศ

สอง คือ ญินที่แปลงร่างเป็นงู และสุนัข

และสุดท้าย คือ ญินที่อยู่บนพื้นแผ่นดินและอยู่ตามซอกสิ่งต่างๆ”


(หะดีษศอหี้ห บันทึกโดยอัฏฏ็อบรอนีย์ และซัยคฺอัลบานีย์ ก็กล่าวว่าเป็นหะดีษศอหี้ห เช่นเดียวกัน)


7. ท่านอบู ซัรดฺ (รอดิยัลลอฮฺอันฮู) ได้ถามท่านรอซูลุลลอฮฺ (ซ.ล.) เกี่ยวกับสุนัขตัวดำ

ท่านรอซูลุลลอฮฺ (ซ.ล.) ตอบว่า “มันคือซัยตอน”

(หะดีษศอหี้ห บันทึกโดยอิบนุมายะห์ และซัยคฺอัลบานีย์ ก็กล่าวว่าเป็นหะดีษศอหี้ห เช่นเดียวกัน)


8. ซัยคุลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะห์ กล่าวว่า

“แท้จริงแล้วสุนัขตัวดำนั้น คือ ซัยตอนที่มาในรูปสุนัข และญินนั้นสามารถแปลงร่างเป็นหลายแบบ เช่นเดียวกันกับแมวตัวดำ ”

(มัจมูอฺฟาตาวา)


9. ซัยคฺ มุกบิล บิน ฮาดีย์ อัลวาดีอีย์ กล่าวว่า

“ญิน สามารถถูกมองเห็นได้โดยมนุษย์ในรูปร่างที่ไม่ใช่รูปร่างเดิมที่พวกมันถูกสร้างขึ้น ส่วนโองการที่ว่า แท้จริงทั้งมัน และพรรคพวกของมันมองเห็นพวกเจ้าโดยที่พวกเจ้าไม่เห็นพวกมัน โองการนี้ไม่สามารถบอกได้ว่า มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นญิน แต่โองการนี้เพียงแต่หมายถึงว่ามนุษย์ไม่สามารถมองเห็นรูปร่างเดิมของพวกมัน”

(อิญาบะตุสสาอิล อาลา อาฮามิลมะซาอิล)


บทสรุป


มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นรูปร่างดังเดิมของญินได้ แต่มนุษย์สามารถมองเห็นเฉพาะรูปร่างที่ญินแปลงกายมาเท่านั้น ซึ่งทั้งนี้ก็ต้องได้รับการอนุมัติจากอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ผู้ทรงสร้างและบริหารทุกสิ่งทุกอย่าง

อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ตรัสความว่า

“และพวกเขาไม่อาจทำให้สิ่งนั้นเป็นอันตรายแก่ผู้ใดได้ นอกจากด้วยการอนุมัติของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) เท่านั้น”

(อัลบะกอเราะห์ : 102)

สิ่งที่จำเป็นสำหรับผู้ศรัทธาจะต้องปฏิบัติอยู่เสมอ คือ การขอดุอาอฺจากอัลลอฮฺ ให้พระองค์ทรงปกป้องคุ้มครองให้ห่างไกลจากสิ่งที่ชั่วร้ายทั้งปวง


أَعُوذُ بِكَلِـمَاتِ الله التَّامَّةِ، مِنْ كُلِّ شَيْطَانٍ وَهَامَّةٍ

"ฉันขอความคุ้มครองด้วยถ้อยคำต่างๆ อันสมบูรณ์ของอัลลอฮ์ จากชัยฏอนทุกๆ ตัวที่คอยยุแหย่ล่อลวง”

(หะดีษศอหี้ห บันทึกโดยบุคอรีย์)


أَعُوذُ بِكَلِـمَاتِ الله التَّامَّاتِ مِنْ شَرِّ مَا خَلَقَ

"ฉันขอความคุ้มครองด้วยถ้อยคำต่างๆ อันสมบูรณ์ของอัลลอฮ์ (ซ.บ.) จากความชั่วร้ายของสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง"

(หะดีษศอหี้ห บันทึกโดยมุสลิม)


#ปาฏิหาริย์แห่งอิสลาม_Islamic_Society_Online
#มหัศจรรย์อัลกรุอาน_Islamic_Society_Online
Islamic Society Online



read more ""ญิน" ชีวิตที่เร้นลับ"

วันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

โทษของไสยศาสตร์

โทษของไสยศาสตร์

(แปลเรียบเรียง อับดุลบารีย์ นาปาเลน)



ไสยศาสตร์ คือ การไช้เวทมนท์ด้วยกับคาถาและการเสกเป่าไปยังเงื่อนเชือก หรือการทำยันต์ต่างๆ เพื่อให้มีผลกระทบหรื่อเพื่อทำร้ายต่อร่างกายหรือหัวใจผู้คน ให้เกิดภัยไข้เจ็บ หรือให้คนอื่นตายได้ หรือให้เกิดสิ่งคล้ายความมหัศจรรย์ และด้วยไสยสาศตร์สามารถทำให้คนมาชอบกัน ซึ่งเรียกว่า " العطف " และทำให้คนเกลียดชังกันได้ ซึ่งเรียกว่า " الصرف " แต่ทั้งหมดจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมันได้ตรงกับความอนุมัติของอัลลอฮ์

وَمَا هُم بِضَارِّينَ بِهِ مِنْ أَحَدٍ إِلَّا بِإِذْنِ اللَّهِ

"และพวกเขาไม่อาจทำให้สิ่งนั้นเป็นอันตรายแก่ผู้ใดได้ นอกจากด้วยการอนุมัติของอัลลอฮฺ"


ไสยศาสตร์มีสองชนิด

ชนิดเเรก คือ ไสยศาสตร์ที่มีผลกระทบ เช่นมีผลกระทบให้เกิดความเจ็บปวด หรือให้คนตายได้ หรืออื่นๆ

ชนิดที่สอง คือ ไสยศาสตร์ลวงตา เช่นการหลอกให้ผู้คนได้เห็นการเสกไม้ให้เป็นงู หรือเห็นการตัดคอให้ขาดและสามารถต่อกลับได้ หรือเห็นคนกินเศษแก้วหรือเอามีดมากรีดเนื้อโดยไม่เกิดอันตรายใดๆ

فَإِذَا حِبَالُهُمْ وَعِصِيُّهُمْ يُخَيَّلُ إِلَيْهِ مِن سِحْرِهِمْ أَنَّهَا تَسْعَىٰ

" ..ณ บัดนั้น เชือกและไม้เท้าของพวกเขาดูประหนึ่งว่ามันเลื้อยคลานไปมาเพราะเล่ห์กลของพวกเขา"

(ฏอฮา - Aya 66)


แก่นแท้ของไสยศาสตร์ ก็เพื่อการขอความช่วยหรือจากบรรดาญิน (ผี) และชัยฏอน เพื่อให้พวกเขาช่วยกระทำสิ่งต่างๆ เเละพวกชัยฏอนเหล่านั้นจะช่วยได้ก็ต่อเมื่อผู้ทำไสยศาสตร์นั้นต้องปฏิเสธศรัทธา หรือด้วยการทำชีริกต่ออัลลอฮ์ ดั้งนั้น บรรดานักไสยศาสตร์ทุกคนจึงมีความสัมพันธ์อย่างเหนียวแน่นต่อบรรดาชัยฏอน

وَاتَّبَعُوا مَا تَتْلُو الشَّيَاطِينُ عَلَىٰ مُلْكِ سُلَيْمَانَ ۖ وَمَا كَفَرَ سُلَيْمَانُ وَلَٰكِنَّ الشَّيَاطِينَ كَفَرُوا يُعَلِّمُونَ النَّاسَ السِّحْرَ...

"และพวกเขาได้ปฏิบัติตามสิ่งที่บรรดาชัยฏอน ในสมัยสุลัยมานอ่านให้ฟัง และสุลัยมานหาได้ปฏิเสธการศรัทธาไม่ แต่ทว่าชัยฏอนเหล่านั้นต่างหากที่ปฏิเสธการศรัทธา โดยสอนประชาชนซึ่งวิชาไสยศาสตร์"


ด้วยเหตุนี้ นักไสยศาสตร์ และการเรียนไสยศาสตร์จึงตกจากศาสนาอิสลาม และต้องลงโทษด้วยการประหารชีวิตสถานเดียว อันเนื่องจากการที่พวกเขาได้ก่อความเสื่อมเสียในแผ่นดินด้วยทำร้ายรังเเก่ต่อบรรดาปวงบ่าวของอัลลอฮ์

ท่านนบี ได้กล่าวว่า

" حَدُّ السَّاحِرِ ضَرْبَةٌ بِالسَّيْفِ " "โทษของนักไสยศาสตร์คือการประหารด้วยดาบ"

(รายงานโดยติรมีซีย์ / ๑๔๖๐)


อัลลอฮ์ได้ส่งมะลักสองท่านจากฟากฟ้า เพื่อเป็นการทดสอบผู้คนเกี่ยวกับไสยศาสตร์ ซึ่งสามารถทำให้คนแตกแยกกัน และทั้งสองจะไม่สอนความรู้นี้ก่อนที่จะบอกว่า พวกเราคือฟิตนะห์

وَمَا يُعَلِّمَانِ مِنْ أَحَدٍ حَتَّىٰ يَقُولَا إِنَّمَا نَحْنُ فِتْنَةٌ فَلَا تَكْفُرْ ۖ فَيَتَعَلَّمُونَ مِنْهُمَا مَا يُفَرِّقُونَ بِهِ بَيْنَ الْمَرْءِ وَزَوْجِهِ ۚ

"และเขาทั้งสองจะไม่สอนให้แก่ผู้ใดจนกว่าจะกล่าวว่า แท้จริง เราเพียงเป็นผู้ทดสอบเท่านั้น ดังนั้นท่านจงอย่าปฏิเสธการศรัทธาเลย แล้วเขาเหล่านั้นก็ศึกษาจากเขาทั้งสอง สิ่งที่พวกเขาจะใช้มันยังความแตกแยกระหว่างบุคคลกับภรรยาของเขา..."


การทำไสยศาสตร์จึงเป็นการแลกเปลี่ยนเอาผลประโยชน์ในโลกนี้ด้วยกับนรกในโลกหน้า

" และพวกเขาก็ร่ำเรียนสิ่งที่เป็นโทษแก่พวกเขา และมิใช่เป็นคุณแก่พวกเขา และแท้จริงนั้นพวกเขารู้แล้วว่าแน่นอนผู้ที่ซื้อมันไว้นั้น ในปรโลกก็ย่อมไม่มีส่วนได้ใดๆ และแน่นอนเป็นสิ่งที่ชั่วช้าจริง ๆ ที่พวกเขาขายตัวของพวกเขาด้วยสิ่งนั้น หากพวกเขารู้"

(อัลบากอเราะหฺ / ๑๐๒)


จากบรรดานักไสยศาสตร์ได้ตั้งใจไช้เวทมนต์อันนี้เพื่อรังแกต่อผู้คน หรือให้เกิดปัญหาต่างๆ เพื่อที่จะให้ผู้คนเหล่านั้นมาขอช่วยเหลือจากเขา และได้กินเงินทองของผู้คนเหล่านั้นอย่างอธรรม ดังนั้น การงานของนักไสยศาสต์จึงเป็นการงานที่เลวร้าย


فَلَمَّا أَلْقَوْا قَالَ مُوسَىٰ مَا جِئْتُم بِهِ السِّحْرُ ۖ إِنَّ اللَّهَ سَيُبْطِلُهُ ۖ إِنَّ اللَّهَ لَا يُصْلِحُ عَمَلَ الْمُفْسِدِينَ

"เมื่อพวกเขาได้โยนไปแล้ว มูซาได้กล่าวว่า “สิ่งที่พวกท่านนำมานั้นคือวิทยากล แท้จริงอัลลอฮ์จะทรงทำลายมัน แท้จริงอัลลอฮ์จะทรงทำลายมัน แท้จริงอัลลอฮ์จะไม่ทรงทำให้การงานของบรรดาผู้บ่อนทำลายดีขึ้น”


บรรดานักไสยศาสตร์จะไม่ประสบความสำเร็จ และต้องเจอกับความพินาศในที่สุด


وَلَا يُفْلِحُ السَّاحِرُ حَيْثُ أَتَىٰ

“และนักไสยศาสตร์นั้นจะไม่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าเขาจะมาจากทางไหนก็ตาม”

(ฏอฮา - Aya 69)


การป้องกันเเละการเยียวยารักษาก็มีสองชนิด


♦ ชนิดเเรก คือการรักษาไสยศาสต์ด้วยกับไสยศาสตร์ด้วยกัน

ชนิดนี้คือชีริก และเป็นสิ่งที่ต้องห้าม เพราะเป็นการงานของชัยฏอน และเหตุเพราะคนที่จะรักษาต้องไปกราบหรือถวาย หรือทำตามชัยฏอนตามที่มันชอบจึงจะเกิดผลได้ และถ้าหากเขาผู้นั้นได้ปฎิเสธศรัทธาแล้ว ชัยฏอนจึงจะช่วยเหลือ เช่น การเหยีดหยามอัลกุรอ่าน หรือทำไปทิ้งในสิ่งสกปรก หรืออื่นๆ (วัลอียาซุบิลลาฮ)

ด้วยเหตุนี้ท่านนบี ได้ห้ามมิให้ผู้คนไปหาพวกเขา

"บุคคลใดที่มาหาหมอดู หรือหมอทำนาย และเชื่อในสิ่งที่เขาพูด ถือว่าเขาได้ปฏิเสธสิ่งที่ถูกประทานมายังท่านนบีมุหัมมัด”

(บันทึกโดยอบูดาวูด, ติรฺมิซีย์, นะสาอีย์ และอิบนุมาญะฮฺ, เชคอัลบานีย์ระบุว่าเป็นหะดีษเศาะหี้หฺ)

ท่านนบี ได้กล่าวว่า

"ผู้ใดที่ได้ทำไสยศาสตร์ แน่นอนเขาได้ทำชีริก และผู้ใดที่ไปยึดติดต่อสิ่งใด เขาก็จะถูกให้ไปยึดติดต่อสิ่งนั้น (โดยมีความหวังเเละความกลัวต่อสิ่งนั้น)"

(รายงานโดยอันนาซาอีย์ / ๔๐๗๙)


♦ ชนิดที่สอง คือ การปัดเป่าด้วยกับอัลกุรอ่าน

การปัดเป่าด้วยกับอัลกุรอ่าน และดุอาอฺ์ที่ถูกต้อง หรือเยียวยาด้วยกับยาที่เป็นประโยชน์ เพราะอัลลอฮ์ไม่ได้ประทานโรคร้ายมานอกจากพระองค์ก็จะประทานยารักษามาให้ด้วย

การปัดเป่าด้วยอัลกุรอ่าน เเละซุนนะห์ เช่น

- อ่านอายัตอัลกุรฺซีย์

- อัลมูเอาวีซะตัยนฺ คือซูเราะหฺ อัล-ฟะลัก เเละอัน-นาส

- โองการสุดท้ายของอัลบากอเราะฮ์

- อ่านซูเราะหฺอับบากอเราะฮ์

- อัซก้ารฺเช้าเย็น

- หรือดุอาอ์ที่ท่านนบี ได้สอน

" أَعُوذُ بِكَلِمَاتِ اللَّهِ التَّامَّةِ، مِنْ كُلِّ شَيْطَانٍ وَهَامَّةٍ، وَمِنْ كُلِّ عَيْنٍ لاَمَّةٍ "

"ฉันขอความด้วยกับพระดำรัสของอัลลอฮ์ อันสมบูรณ์ ให้พ้นจากชัยฏอนมารร้าย และสัตว์ร้าย (เชื้อโรค) ทุกชนิด และให้พ้นจากทุกๆ อันตรายของตาอิจฉาริษยา"

(รายงานโดยบุคอรีย์ )

และการปกป้องย่อมดีกว่าการรักษาเสมอ

ขอจากอัลลอฮ์ ให้ทรงคุ้มครองพวกเราจากสิ่งชั่วร้ายทั้งหลายทั้งปวง

وصلى الله على نبينا محمد وعلى آله وصحبه وسلم




ถอดความมาจาก http://miraath.net/sounds.php?cat=639&id=3622

นะอูซุบิลลาฮฺฮิมินซาลิก



#ปาฏิหาริย์แห่งอิสลาม_Islamic_Society_Online
Islamic Society Online



read more "โทษของไสยศาสตร์"

วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

หัวใจที่ยิ่งใหญ่ : เรื่องราวของพ่อผู้ให้อภัยฆาตกรที่ฆ่าลูกชายของตัวเอง

หัวใจที่ยิ่งใหญ่ : เรื่องราวของพ่อผู้ให้อภัยฆาตกรที่ฆ่าลูกชายของตัวเอง




Trey Alexander Relford ถูกตัดสินจำคุก 31 ปีจากข้อหาจงใจฆ่า ซอลาฮุดดีน จิตต์หมวด ชายขับรถส่งพิซซ่าเมื่อปี 2015 ที่ผ่านมา แต่แล้วบรรยากาศอึมครึมภายในชั้นศาลวันนั้นก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเมื่อ ดร.สมบัติ จิตต์หมวด ซึ่งเป็นบิดาของชายหนุ่มผู้เสียชีวิตได้บอกกับ Relford ผู้ต้องหา ต่อหน้าทุกคนว่า ตนให้อภัยและยกโทษแทนลูกชายกับเรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมา

“การให้อภัยคือของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอิสลาม” พ่อของ ซอลาฮุดดีน กล่าวด้วยน้ำเสียงที่นิ่งและอ่อนโยน

Relford อายุ 24 ปีถูกศาลตัดสินจำคุกเมื่อเดือนที่ผ่านมาโทษฐานสมรู้ร่วมคิดก่อคดีฆาตกรรม ปล้นชิงทรัพย์ และจงใจสังหารโดยใช้มีดแทง ซอลาฮุดดีน ที่มีอายุเพียง 22 ในขณะนั้นจนเสียชีวิต คำสารภาพของ Relford ต่อทุกข้อคดีดังกล่าวเป็นผลให้เขาต้องรับโทษหนักและอาจถึงขั้นประหารชีวิต

แต่การให้อภัยของบิดาผู้เสียชีวิตกลับสร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนที่เป็นสักขีพยานในวันนั้น

“ในช่วงที่ทุกอย่างมันดูแย่และเลวร้ายขณะนั้น ได้มีบางสิ่งสวยงามเกิดขึ้นต่อหน้าเราทุกคน มันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดฝันมาก่อนเลยจริงๆ” ทนาย Shannon Brooks-English กล่าว

“มันเหมือนกับเป็นพินัยกรรมจาก ซอลาฮุดดีน ที่ครอบครัวของเขาสามารถให้อภัยต่อสิ่งที่เกิดขึ้นได้” Kathy Phillips ผู้ช่วยอัยการแห่งคอมมอนเวลส์กล่าว

ดร.สมบัติ จิตต์หมวด พ่อของ ซอลาฮุดดีน ซึ่งเป็นครูใหญ่ให้กับโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามหลายแห่งในอเมริกา ถูกเรียกให้ไปขึ้นพูดเพื่อให้โอวาทครั้งสุดท้ายแก่ผู้ต้องหาต่อหน้าทุกคนก่อนที่ศาลจะทำการตัดสิน

“ผมโกรธชัยฏอน (มารร้าย) ในตัวคุณ ผมโทษชัยฏอนที่ชักจูงให้คุณกระทำอาชญากรรมแสนโหดร้ายในวันนั้น” เขากล่าว

และทุกคนก็ได้ยินคำพูดที่ยิ่งใหญ่จากเขาว่า “ผมยกโทษให้คุณ แทนลูกชายผมและแม่ของเขา” (Jamilah Linda Kay Kolocotronis Jitmoud แม่ของ ซอลาฮุดดีน ซึ่งเสียชีวิตเมื่อปี 2013 ก่อนหน้าที่เขาจะถูกสังหาร)

จากนั้น Relford ก็ได้กล่าวกับบิดาของ ซอลาฮุดดีน ว่า “ผมเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น” เขากล่าวพลางเช็ดน้ำตาที่ขอบเสื้อนักโทษสีส้มตัวนั้น “ผมชื่นชมคุณมาก มันต้องอาศัยความเป็นผู้ชายที่เปี่ยมด้วยพลังเท่านั้นที่จะสามารถลุกขึ้นมาพูดในสิ่งที่คุณได้พูดไป คุณให้อภัยทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าเขาคนนั้นทำให้คุณเจ็บช้ำมากเพียงใด ผมนึกและจินตนาการไม่ออกเลยว่าคุณต้องเจ็บปวดและทุกข์เพียงใด ผมช่วยอะไรคุณไม่ได้เลย…ผมขอบคุณเหลือเกินสำหรับการให้อภัยของคุณในครั้งนี้”

เหตุการณ์ในครั้งนี้แสดงถึงพลังที่ยิ่งใหญ่ของความรักและการให้อภัย ที่สามารถเปลี่ยนช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดให้กลายเป็นบทเรียนที่แสนอบอุ่นและประทับใจให้กับทุกคนได้อย่างมากมาย






แปลและเรียบเรียงโดย : Andalas Farr
ที่มา : Muslim Father Forgives Man Involved in His Son’s Murder

หมายเหตุ : ดร.สมบัติ จิตต์หมวด เป็นชาวไทยมุสลิมที่ไปแต่งงานและอยู่อาศัยที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ท่านเป็นนักการศึกษาและนักกิจกรรมทางสังคมที่แข็งขัน


ที่มา : บทความจาก  http://halallifemag.com/  ภาพ  https://www.okmuslim.com/




read more "หัวใจที่ยิ่งใหญ่ : เรื่องราวของพ่อผู้ให้อภัยฆาตกรที่ฆ่าลูกชายของตัวเอง"

วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

มุสตอฟา เคมาล อตาร์เตอร์ค ยิวแอบแฝงผู้ทำลายล้างอาณาจักรอิสลามอุษมานียะห์

มุสตอฟา เคมาล อตาร์เตอร์ค ยิวแอบแฝงผู้ทำลายล้างอาณาจักรอิสลามอุษมานียะห์



มุสตอฟา เคมาล อตาร์เตอร์ค ได้ชื่อว่าบิดาแห่งยุคทันสมัยของตุรกี แต่จริงๆแล้วเขาคือผู้ที่โค่นล้มอาณาจักรอิสลามอุษมานียะห์ ในปีค.ศ.1924 ทำให้อาณาจักรอิสลามที่ยืนยงมาถึง 595 ปีต้องล่มสลายลง

ฉายาอตาร์เตอร์ค มีความหมายว่า บิดาของตุรกี เขาเกิดเมื่อปี ฮ.ศ.1299(ค.ศ.1880) ที่เมืองซาโลนีก้า ประเทศกรีก ซึ่งขณะนั้นเป็นเมืองขึ้นของคอลีฟะห์อุษมานียะห์ พ่อของเขาชื่อว่า อลี รีฎอ อัฟฟันดี้ ซึ่งทำงานเป็นศุลกากร ผู้ช่วยคนสนิทของมุสตอฟา เคมาล กล่าวว่า

“มุสตอฟา มาจากเชื้อสายชาวยิว ปู่ย่าตายายของเขา คือ ยิวที่อพยพมาจากสเปน มาอยู่ที่ซาโลนีก้า"

ยิวกลุ่มนี้มีชื่อเรียกว่า ยิวเดานามะห์ ซึ่งมีอยู่ 600 ครอบครัว พวกเขารับอิสลามในปี 1683 แต่ว่าพวกเขายังคงนับถือศาสนายาฮูดีอย่างลับๆ นั่นหมายความว่า มุสตอฟา เคมาล เป็นอิสลามแต่เพียงในนาม แต่ที่จริงแล้วเขาเป็นยิว

เขาได้เข้าเรียนในโรงเรียนทหารตั้งแต่อายุ 12 ปี และในปี 1855 เขาได้เข้าวิทยาลัยวิชาทหารที่ โมนาซิตาร์ ปี 1905 เขาเข้าเรียนต่อทางทหารอีกที่อิสตันบูลและจบในปี 1907 หลังจากนั้นเขาได้เข้าประจำการที่ค่ายทหารบาตัลเลี่ยน ที่ซาโลนีก้า

ที่นี่เองที่เขาได้เริ่มปลุกปั่นเพื่อนทหารให้มีความคิดต่อต้านระบบคอลีฟะห์และการปกครองระบบอิสลาม
เขาได้เป็นนายกรัฐมนตรีของตุรกี โดยความช่วยเหลือของอังกฤษ ในสมัยของเขาได้ทำการเปลี่ยนแปลงอิสลามในตุรกี อันเป็นประวัติศาสตร์ที่ด่างดำต่ออิสลาม สิ่งที่เขาทำคือ
  • ให้ผู้หญิงคลุมฮิญาบได้ แต่มีเงื่อนไขคือต้องนุ่งกะโปรง
  • ให้ผู้ชายนุ่งกางกงขายาว แต่มีเงื่อนไข คือ ต้องผูกเน็คไทค์และใส่หมวกปีก(แบบตะวันตก)
  • เขากล่าวว่าประเทศชาติจะทันสมัยไม่ได้ หากคนในชาติยังแต่งกายแบบโบราณ(แบบอิสลาม)
  • อนุญาติให้มีการดื่มสุราได้อย่างเปิดเผย
  • ให้พิมพ์อัลกุรอานเป็นภาษาตุรกี โดยไม่มีภาษาอาหรับ
  • เปลี่ยนการอาซานเป็นภาษาตุรกี
  • เปลี่ยนแปลงในภาษาตุรกี โดยให้ตัดคำทับศัพท์ภาษาอาหรับและภาษาเปอร์เชียออกไป
  • นำเอาสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกมาใช้แทนสถาปัตยกรรมแบบอิสลาม
เขาได้พูดต่อหน้าสาธารณชนในเมืองเบอลิเกอร์ซิร ว่าจำเป็นต้องแยกศาสนาออกจากเรื่องทางโลก รวมถึงการเมือง และจำเป็นต้องลบล้างศาสนาออกไปเพื่อให้เกิดความเจริญ โดยสรุปในคำปราศรัยของเขา คือ “ไม่มีศาสนาในการเมือง และก็ไม่มีการเมืองในศาสนา” และถอดเอาศาสนาอิสลามออกจากการเป็นศาสนาประจำชาติ
  • เขาสร้างระบบการแต่งงานแบบจดทะเบียนตามกฎหมายตะวันตก
  • เปลี่ยนมัศยิดอยาโซเฟีย ให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ และยังเปลี่ยนมัศยิดหลายแห่งให้กลายเป็นโบสถ์
  • ปิดมัศยิดและห้ามทำการละหมาดรวมกันเป็นญามาอะห์
  • เลิกกระทรวงเอากอฟ(สวัสดิการ)และปล่อยทิ้งเด็กกำพร้าและอนาถา รวมถึงคนยากจน
  • เลิกการรับมรดกตามกฎหมายอิสลาม
  • ยกเลิกปฎิทินอิสลามและเปลี่ยนแปลงตัวเลขภาษาอาหรับเป็นตัวเลขภาษาลาติน
เขามีความคิดใฝ่สูงว่าเขามีความยิ่งใหญ่เปรียบเสมือนฟิรอูน เขาเคยถามทหารใต้บังคับบัญชาว่า “พระเจ้า คือ ใคร และไหนล่ะพระเจ้า” ด้วยความหวาดกลัวทหารนั้นได้ตอบว่า “เคมาล อตาร์เตอร์ค คือ พระเจ้า” เขายิ้มด้วยความภาคภูมิใจในคำตอบนั้น

การตายของเคมาล อตาร์เตอร์ค

เขาป่วยเป็นโรคประหลาดทำให้คันไปทั่วร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ทำให้ความดันโลหิตสูง และมีไข้ขึ้นตลอดเวลา เขามีความร้อนขึ้นสูงตลอด จนต้องสั่งให้ดับเพลิงมาฉีดน้ำที่บ้านเขาตลอด 24 ชั่วโมง และสั่งให้คนรับใช้นำเอาน้ำแข็งมาใส่ไว้ในผ้าห่มของเขาตลอด

มหาบริสุทธิ์พระองค์อัลเลาะฮ์ ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไรก็ตาม ความร้อนนั้นก็ไม่ลดลงเลย จนกระทั่งเขากรีดร้องจนได้ยินไปทั่วพระราชวัง คนใช้ได้นำเขาใส่ในเรือและไปทิ้งไว้กลางทะเล โดยหวังว่าจะทำให้เขาเย็นลงบ้าง

ในที่สุดเมื่อวันที่ 26 กันยายน 1938 เขาได้สลบไปเป็นเวลา 48 ชั่วโมง เนื่องจากความร้อนขึ้นสูงเกินไป หลังจากนั้นเขาฟื้นขึ้นมาอีกทีแต่ก็สูญเสียความทรงจำ ในวันที่ 9 พฤศจิกายน 1938 เขาได้สลบไปอีกเป็นเวลา 36 ชั่วโมง จนในที่สุดเขาได้เสียชีวิตลง

ในตอนที่เขาเสียชีวิต ไม่มีสักคนที่มาอาบน้ำศพให้เขา กาฝั่น หรือมาละหมาดให้เขา

ยิ่งไปกว่านั้นอัลเลาะฮ์ได้ทำการอาซาบลงโทษ ในตอนที่มายัตของเขาจะถูกฝัง แผ่นดินไม่ยอมรับ(ไม่ทราบชัดเจนว่าเป็นแบบใด) ด้วยความที่ไม่รู้จะทำอย่างไรกับศพของเขา จึงได้ทำการแช่แข็งไว้และเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ชื่อว่า เอทนากราฟฟี่ เป็นเวลาถึง 15 ปี จนกระทั่งปี 1953 จึงได้นำศพของเขามาฝังอีกครั้งหนึ่ง แต่อัลเลาะฮ์ก็ได้แสดงพลังอำนาจอีกครั้งหนึ่งแผ่นดินไม่ยอมรับศพของเขา เมื่อหมดความสามารถจึงได้นำศพของเขาไปยังภูเขาลูกหนึ่งและก่อหินอ่อนและฝังไว้ใต้หินอ่อนนั้นที่หนักถึงถึง 44 ตัน

บรรดาอุลามะห์ในตุรกีได้กล่าวว่าอย่าว่าแต่แผ่นดินตุรกีเลย แผ่นดินทั่วทั้งโลกนี้ก็ไม่ยอมรับศพของเคมาล อตาร์เติร์ค

นั่นคืออาซาบสำหรับคนที่ต่อต้านศาสนาของอัลเลาะฮ์ ยังไม่รวมถึงการลงโทษที่เขาจะได้รับในวันอาคิเราะห์ นั่นคือสิ่งที่สาสมสำหรับคนมุรตัดเคมาล อตาร์เติร์ค หวังว่าเรื่องนี้คงเป็นอุธาหรณ์สำหรับผู้ที่คิดจะต่อต้านอิสลามได้สังวรณ์ไว้

Cr. Yasin annab


แหล่งที่มา : คำสอน อิสลาม


#คติเตือนใจ_Islamic_Society_Online
Islamic Society Online



read more "มุสตอฟา เคมาล อตาร์เตอร์ค ยิวแอบแฝงผู้ทำลายล้างอาณาจักรอิสลามอุษมานียะห์"

วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

กอบีลกับฮาบีล

กอบีลกับฮาบีล




หลังจากที่ท่านอาดัมและพระนางฮาวาอฺลงมายังพื้นพิภพ ทั้งสองได้ร่วมหลับนอน จนมีลูกคู่แรก ชื่อว่ากอบีลและคู่แฝดของเขา ชื่ออิกลีมา หลังจากนั้นอีกสองปี พระนางฮาวาอฺ ก็ได้ให้กำเนิดลูกคู่ที่สอง ชื่อว่าฮาบีล และคู่แฝดของเขา ชื่อลบูดา

เมื่อพวกเขาย่างเข้าวัยฉกรรจ์ พวกเขารู้ว่าอัลลอฮฺทรงใช้ให้ กอบีลแต่งงานกับลบูดาซึ่งเป็นคู่แฝด ของฮาบีล และให้ฮาบีลแต่งงานกับ อิกลีมา ซึ่งเป็นคู่แฝดของกอบีล ปรากฏว่า อิกลีมาเป็นคนที่สวยที่สุดในขณะนั้น กอบีลจึงต้องการที่จะแต่งงานกับอิกลีมา

ดังนั้นท่านอาดัมก็ได้กล่าวกับกอบีลว่า นางไม่เป็นที่อนุญาตแก่เจ้า กอบีล ได้ปฏิเสธคำตักเตือนของบิดาแล้วท่านอาดัมก็ได้กล่าวขึ้นว่า ท่านทั้งสองจงทำการพลีทาน ดังนั้น พลีทานของใครถูกรับเขาจะได้สิทธิ์ในตัวอิกลีมา

ปรากฏว่า กอบีลเป็นเจ้าของไร่นา เขาได้นำเอาผลผลิตจากการเกษตรที่แย่ที่สุดของเขากองหนึ่งมาเป็นพลีทาน ส่วนฮาบีลเป็นเจ้าของปศุสัตว์เขาได้นำเอาแกะอ้วนตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นแกะที่ดีที่สุด ในบรรดาสัตว์เลี้ยงของเขามาเป็นพลีทาน แล้วทั้งสองก็ได้นำเอาพลีทานของเขาไปวางไว้บนภูเขา แล้วไฟที่มาจากฟากฟ้าก็ได้ลงมากินแกะ โดยไม่ได้กินพลีทานของกอบีล หลังจากที่ทั้งสองได้ลงมาจากภูเขา ทั้งสองได้ถกเถียงกัน กอบีลคิดในใจว่า เขาจะต้องฆ่าฮาบีลให้ได้

{وَاتْلُ عَلَيْهِمْ نَبَأَ ابْنَيْ آدَمَ بِالْحَقِّ إِذْ قَرَّبَا قُرْبَاناً فَتُقُبِّلَ مِنْ أَحَدِهِمَا وَلَمْ يُتَقَبَّلْ مِنْ الآخَرِ قَالَ لأَقْتُلَنَّكَ قَالَ إِنَّمَا يَتَقَبَّلُ اللَّهُ مِنْ الْمُتَّقِينَ. لَئِنْ بَسَطتَ إِلَيَّ يَدَكَ لِتَقْتُلَنِي مَا أَنَا بِبَاسِطٍ يَدِي إِلَيْكَ لأَقْتُلَكَ إِنِّي
أَخَافُ اللَّهَ رَبَّ الْعَالَمِينَ. إِنِّي أُرِيدُ أَنْ تَبُوءَ بِإِثْمِي وَإِثْمِكَ فَتَكُونَ مِنْ أَصْحَابِ النَّارِ وَذَلِكَ جَزَاءُ الظَّالِمِينَ. فَطَوَّعَتْ لَهُ نَفْسُهُ قَتْلَ أَخِيهِ فَقَتَلَهُ فَأَصْبَحَ مِنْ الْخَاسِرِينَ. فَبَعَثَ اللَّهُ غُرَاباً يَبْحَثُ فِي الأَرْضِ لِيُرِيَهُ كَيْفَ
يُوَارِي سَوْأَةَ أَخِيهِ قَالَ يَا وَيْلَتَا أَعَجَزْتُ أَنْ أَكُونَ مِثْلَ هَذَا الْغُرَابِ فَأُوَارِيَ سَوْأَةَ أَخِي فَأَصْبَحَ مِنْ النَّادِمِينَ

ความว่า: “และเจ้า (มูฮัมมัด) จงแถลงให้พวกเขา (วงศ์วานอิสรออีล) รู้ถึงข่าวคราวของบุตรชายสองคนของอาดัมโดยสัจจริง ขณะที่ทั้งสองได้กระทำการพลี ซึ่งสิ่งพลีอยู่นั้น แล้วสิ่งพลีก็ถูกรับจากหนึ่ง ในสองคน และมิได้ถูกรับจากอีกคนหนึ่ง เขา (กอบีล) จึงกล่าวขึ้นว่า แน่นอนข้าจะต้องฆ่าเจ้าให้ได้

ฮาบีลกล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮฺจะทรงรับจากบรรดาผู้ยำเกรงเท่านั้น , หากท่านยื่นมือของท่านมายังฉันเพื่อจะฆ่าฉัน แน่นอนฉันก็จะไม่ยื่นมือของฉันไปยังท่าน เพื่อฆ่าท่าน แท้จริงฉันกลัวอัลลอฮฺผู้ทรงเป็นเจ้าแห่งโลกทั้งมวล , แท้จริงฉันต้องการที่จะให้ท่านนำบาป (ที่ฆ่า) ฉัน และบาปของท่านเองกลับไป (ยังอัลลอฮฺในวันปรโลกเพื่อรับการลงโทษจากพระองค์) แล้วนั้นแหละคือ การตอบแทนแก่บรรดาผู้อธรรม , แล้วจิตใจของเขา (กอบีล) ก็คล้อยตามเขาในการที่จะฆ่าน้องชายของเขา แล้วกอบีลก็ได้จัดการ ฆ่าน้องชายของเขา ดังนั้นเขาจึงได้กลายเป็นผู้หนึ่งจากบรรดาผู้ขาดทุน
” (อัลมาอิดะฮฺ : 27-30)

นักวิชาการมีความเห็นที่แตกต่าง ถึงวิธีการฆ่าของกอบีล บางท่านกล่าวว่า อิบลีสได้จำแลงร่างมาหากอบีล แล้วนำเอานกมาหนึ่งตัว วางไว้บนแทนหิน แล้วทุบด้วยก้อนหิน กอบีลก็ได้มุ้งหน้ามายังน้องชายของเขาในขณะที่นอนหลับ เขาได้ยกก้อนหินแล้วทุบไปที่หัวของฮาบีลจนตาย เมื่อกอบีลสังหารฮาบีลเรียบร้อยแล้ว กอบีลไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร กับศพของฮาบีลดี อัลลอฮฺจึงได้ส่งอีกามาสองตัว โดยที่หนึ่งจากสองตัวนั้นได้ฆ่าอีกตัวหนึ่ง จากนั้นมันก็ได้ขุดดินแล้วฝังซากของอีกตัวหนึ่งเพื่อให้กอบีลรู้ถึงวิธีการปฏิบัติต่อศพของน้องชายของเขาจากนั้นกอบีลก็ได้ขุดหลุมฝังฮาบีล เช่นเดียวกับอีกา

อัลลอฮฺมิทรงต้องการฆ่ากอบีลเพื่อทำการแก้แค้นให้กับฮาบีล แต่ต้องการให้เขามีชีวิตอยู่อย่างทุกข์ทรมานกับบาปที่เขาได้ก่อขึ้น กอบีลมีความลำบากในการทำไร่นา เพราะไร่นาไม่ได้ให้พืชผลอะไรกับเขาเลย กอบีลอยู่อย่างหลบหนีผู้คน และพเนจรไปเรื่อยตลอดระยะเวลาที่เหลืออยู่ของเขา

เลือดของฮาบีลเป็นเลือดแรกของมนุษย์ ที่ถูกหลั่งบนพื้นดิน ท่านศาสดา (ซ.ล.) ได้กล่าวไว้ว่า “ชีวิตหนึ่งจะไม่ถูกฆ่าโดยอธรรม เว้นเสียแต่ลูกของอาดัมคนแรก (กอบีล) จะต้องรับผิดชอบจากเลือดของ ชีวิตนั้น เพราะเขาเป็นผู้วางแบบฉบับในการฆ่า” เช่นเดียวกับผู้ที่วางแบบฉบับที่ดีให้คนรุ่นหลังได้ปฏิบัติตามเขาผู้นั้นก็จะได้รับผลบุญเท่ากับ ผู้ที่ปฏิบัติตาม และยิ่งมีผู้ปฏิบัติตามมาก เขาก็ยิ่งได้รับผลบุญมากขึ้นเรื่อย ๆ และท่านศาสดามูฮำมัด (ซ.ล.) ยังได้กล่าวอีกว่า

แท้จริงอัลลอฮฺทรงยกอุทาหรของลูกท่านอาดัมให้กับพวกท่าน ดังนั้นพวกท่านจงยึดเอาจากสิ่งที่ดี ๆ ของพวกเขา และจงละทิ้งสิ่งชั่วร้ายของพวกเขา

ในขณะที่ฮาบีลถูกฆ่า เขามีอายุได้เพียง 20 ปี ส่วนกอบีลมีอายุได้ 22 ปี ท่านสาลีม บุตรท่านอบีลญะอฺด ฺได้กล่าวว่า เมื่อกอบีลได้ฆ่าน้องชายของเขาท่านอาดัมได้อยู่ในความโศกเศร้า และไม่หัวเราะอีกเลยตลอด 100 ปีที่ผ่านมา จนก็ทั่งได้มีผู้หนึ่งมาหาท่านอาดัม แล้วขอพรให้กับท่านอาดัมว่า“ขออัลลอฮฺทรงให้ท่านมีชีวิตที่ยืนยาว และขอพระองค์ทรงให้ท่านมีเสียงหัวเราะ” แล้วเขาก็บอกข่าวดีแก่ท่านอาดัมว่า เขาจะมีลูกชายอีกคนหนึ่ง ท่านอาดัมจึงหัวเราะออก

หลังจากนั้นไม่นาน ภรรยาของท่านอาดัมก็ได้ให้กำเนิดบุตรชายโดยไม่มีฝาแฝด นางจึงได้กล่าวขึ้นว่า “ฉันได้รับลูกคนใหม่แทนฮาบีลที่เสียชีวิตไป” แล้วนางก็ตั้งชื่อลูกว่า เชซ (شيث) ซึ่งมีความหมายว่า “ของขวัญจากอัลลอฮฺ” ในขณะที่คลอดเชซนั้น ท่านอาดัมมีอายุครบ 130 ปี และ ได้มีรายงานจากท่านซัร ซึ่งเขาได้กล่าวว่า ฉันได้กล่าวว่า โอ้ท่านศาสดามูฮัมมัด! นบีมีกี่ท่าน? ท่านศาสดาตอบว่า และหนึ่งจากหะดีษมัรฟัวะอฺ ซึ่งรายงานมา

จากท่านอิบนิอับบาสและท่านอบีฮุรอยเราะฮฺว่า แท้จริงในเลาฮิ้ลมะฮฺฟูซได้บันทึกอายุของท่านอาดัมไว้ถึง 1000 ปี ซึ่งอาจจะไม่ขัดกับสิ่งที่อยู่ในคัมภีร์เตารอดที่ว่าท่านอาดัมมีอายุถึง 930 ปีโดยคิดตามสุริยคติ เพราะหากนับตามจันทรคติแล้ว จะเท่ากับ 957 ปี และบวกอีก 43 ปี ในขณะที่อยู่ในสวนสวรรค์ รวมแล้วครบ 1000 ปี

ท่านนบีอาดัมเสียชีวิตในวันศุกร์ ส่วนพระนางฮาวาอฺเสียชีวิตถัดจากท่านนบีอาดัมอีกหนึ่งปี ซึ่งเขาทั้งสองมีลูกด้วยกันถึง 41 คนรวมถึงฮาบีลที่เสียชีวิตไปด้วย

ท่าน อิบนิอิสหากและคนอื่น ๆ ได้กล่าวว่า อัลลอฮฺทรงส่งมะลาอิกะฮฺมาทำการอาบน้ำศพ และพันกะฝั่นในกับท่านนบีอาดัม โดยใช้ผ้า 3 ผืน และได้ขุดลูกหลุมฝังท่านนบีอาดัม หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้กล่าวกับผู้ที่มาในวันนั้นว่า “นี้คือแบบฉบับของลูกหลานอาดัม ในภายภาคหน้า” นักวิชาการบางท่านได้กล่าวว่า หลุมฝังศพของท่านนบีอาดัมอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งบรรดาลูก ๆ หลาน ๆ ของท่านได้เข้ามาเยี่ยมเยียนเขา และทำการระลึกถึงอัลลอฮฺ (ซิกรูลลอฮฺ) ที่หน้าหลุมฝังศพ เหล่าบรรดาลูก ๆ หลาน ๆ ของท่านนบีอาดัมยังคงปฏิบัติตามคำสั่งสอน และใช้บทบัญญัติของท่านนบีอาดัมในช่วงระยะหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ไม่ยาวนานนัก อันเนื่องมาจากชัยฏอนมารร้ายยังคงจดจองพวกเขาอยู่ตลอดเวลา

อ้างจาก Al-azhar 17 เม.ย. 2009 09.50 PM



#ประวัติศาสตร์อิสลาม_Islamic_Society_Online
Islamic Society Online



read more "กอบีลกับฮาบีล "

วันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

เหตุมันเกิดจาก...แอปเปิ้ลลูกเดียว...!!?

เหตุมันเกิดจาก...แอปเปิ้ลลูกเดียว...!!?




นานมาแล้วในอดีต มีชายหนุ่มผู้เคร่งครัดคนหนึ่งพึ่งสำเร็จการศึกษา เขาจึงกลับไปใช้ชิวิตที่บ้านเกิด ด้วยเพราะชีวิตของเขาอยู่กับการเรียนมาตลอด ทั้งฐานะทางบ้านก็ยากจนมาก วันหนึ่งด้วยกับความหิวจัด เขาจึงออกไปจากบ้านเพื่อหาอาหารประทังความหิว แต่ตลอดทางเขาหาอะไรกินไม่ได้เลย จนกระทั่งเดินไปสุดที่สวนๆหนึ่งซึ่งมีต้นแอปเปิ้ลเต็มไปหมด...ใกล้ๆนั้นมีกิ่งต้นแอปเปิ้ลอยู่ 1 กิ่งที่ย้อยลงไปถึงตรงถนน

เขาคิดในใจว่า ถ้าเขากินแอปเปิ้ลซักผลเพื่อประทังชีวิตให้รอดคงไม่เป็นอะไรเพราะไม่มีใครเห็น และแค่แอปเปิ้ลลูกเดียวก็ไม่ทำให้สวนทั้งสวนที่มีแอปเปิ้ลเต็มไปหมดเสียหาย...นั่นเองทำให้เขาเด็ดแอปเปิ้ลมา 1 ผล นั่งกินจนบรรเทาความหิวไปได้

เมื่อเขากลับถึงบ้าน เขาเริ่มรู้สึกไม่สบายใจกับสิ่งที่ทำไป (ซึ่งนี่คือลักษณะที่มุอ์มินมักจะเป็น) เขาเริ่มนั่งคิดและตำหนิตัวเองว่า "ทำไมเขาถึงไปกินแอปเปิ้ลของพี่น้องมุสลิมโดยที่ยังไม่ได้ขออนุญาตซะก่อน!!" เมื่อรู้สึกแย่เช่นนั้น เขาจึงรีบออกไปเสาะหาว่าผู้ใดเป็นเจ้าของสวนแอปเปิ้ล จนได้พบกับชายชราที่เป็นเจ้าของสวน เขาจึงพูดกับชายชราว่า

"คุณลุงครับ เมื่อวานนี้ฉันเกือบเอาชีวิตไม่รอดเพราะความหิว ฉันจึงได้กินแอปเปิ้ลจากสวนของลุงไป 1 ลูกโดยที่ลุงไม่รู้ ดังนั้น วันนี้ฉันจึงมาขออนุญาตสิทธิในแอปเปิ้ลผลนั้นจากลุงครับ"

ชายชราตอบกลับเขาไปว่า "ขอสาบานต่ออัลลอฮ์! ข้าจะไม่ยกโทษให้ ข้าจะไปทวงถามมันจากเจ้า ณ ที่อัลลอฮ์ในวันกิยามะฮ์!!"

ชายหนุ่มคนนั้นถึงกับร่ำไห้เมื่อได้ยิน เขาพยายามร้องขอให้ชายชรายกโทษให้แก่เขา เขาบอกกับชายชราว่า "ฉันพร้อมจะทำทุกอย่างตามที่ลุงต้องการ หากมันทำให้ลุงยกโทษและฮาลาลแอปเปิ้ลนั้นแก่ฉัน" แต่ไม่ว่าเขาจะร้องขออย่างไร ชายชราก็ยังคงยืนกรานไม่ยกโทษให้และเดินหนีชายหนุ่มไป ชายหนุ่มเดินตามไม่ห่างเพื่อขอให้เขายกโทษให้ จนชายชราเดินเข้าบ้านของเขาไป ชายหนุ่มก็ยังยืนรออยู่หน้าบ้านเพื่อหาโอกาสพบเขาอีกตอนออกมา กระทั่งเวลาล่วงเข้าสู่ช่วงเย็น ชายชราก็ออกมาจากบ้านอีกครั้ง เขาพบว่าชายหนุ่มยังคงยืนรออยู่ตรงนั้น น้ำตาของเขาไหลอาบเคราจนเปียกชุ่ม แต่ใบหน้านั้นกลับประกายรัศมีแห่งการตออัตและความรู้ ชายหนุ่มกล่าวแก่ชายชราว่า

"คุณลุงครับ...ตอนนี้ฉันพร้อมแล้วที่จะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ทั้งหมดดูแลทำสวนให้แก่คุณลุงโดยไม่รับค่าตอบแทนใดๆทั้งสิ้น หรือคุณลุงจะให้ฉันทำอะไรอื่นตามที่ลุงต้องการก็ได้ แต่ได้โปรดยกโทษให้ฉันด้วยเถิด..."

ชายชราเริ่มมีทีท่ายอมเจรจาด้วย เขาจึงบอกกับชายหนุ่มไปว่า "เจ้าหนุ่ม!! ข้าจะยอมยกโทษเรื่องแอปเปิ้ลแก่เจ้าก็ได้ แต่ข้ามีเงื่อนไขน่ะ!!.."

ชายหนุ่มเริ่มแสดงสีหน้าดีใจอย่างเห็นได้ชัดเจน พร้อมตอบกลับไปว่า "เงื่อนไขอะไรหรือครับที่คุณลุงต้องการ?"

ชายชราตอบกลับไปว่า "เงื่อนไขของข้าคือ เจ้าต้องแต่งงานกลับลูกสาวของข้า!!!"

ชายหนุ่มรู้สึกตกใจกับเงื่อนไขของชายชรา ซึ่งขณะที่เขายังคงอึ้งกับคำตอบของชายชราอยู่นั้น ชายชราบอกต่อว่า "ไอ้หนุ่มน้อย!!...ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ก่อนตัดสินใจว่า ลูกสาวของข้านั้น นางตาบอด หูหนวก แล้วก็เป็นใบ้ด้วย นอกจากนี้ขาของนางยังพิการไม่สามารถเดินไปไหนได้มานานแล้ว...ข้าเนี่ยะ!พยายามหาผู้ชายที่จะมาคอยดูแลนาง ยอมรับสภาพพิกลพิการของนางได้ ซึ่งถ้าหากเจ้าตกลงแต่งงานกับนาง ข้าก็จะยกโทษให้กับเจ้า..."

ชายหนุ่มรู้สึกช็อกเป็นรอบที่สองกับสิ่งที่ได้ยิน เขาเริ่มหนักใจว่า ถ้าเขาแต่งงานกับลูกสาวของชายชราไป ช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ของเขาจะใช้ชีวิตอยู่กับหญิงพิการแบบไหน? นางจะปฏิบัติหน้าที่ในฐานะภรรยาต่อเขา ดูแลบ้านของเขา เอาใจใส่เขาได้อย่างไรกัน?

เขาวิตกกังวลมาก แต่ก็บอกกับตัวเองว่า "เอาเหอะ!!..เจ้าจงอดทนต่อสภาพของนางเพียงแค่ดุนยานี้เท่านั้น แต่ในโลกหน้าเจ้าจะปลอดภัยจากหายนะของแอปเปิ้ลลูกนั้น..." เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาจึงบอกกับชายชราว่า "คุณลุงคับ ฉันตกลงจะแต่งงานกับลูกสาวของลุง ฉันขอต่ออัลลอฮ์ให้พระองค์ทรงตอบแทนต่อเจตนาของฉัน และขอพระองค์ทรงทดแทนต่อสิ่งที่จะประสบกับฉันด้วยสิ่งที่ดีงามกว่า..."

ชายชราจึงบอกเขาไปว่า "ถ้างั้นก็ดี...เอาเป็นว่าในวันพฤหัสฯหน้า เจ้าก็มาที่บ้านของข้า แล้วข้าจะจัดการเรื่องแต่งงานและรับผิดชอบจ่ายมะฮัรแก่ลูกสาวของข้าแทนเจ้าเอง"

เมื่อถึงวันนัดหมาย ชายหนุ่มเดินออกจากบ้านในสภาพซังกะตาย ห่อเหี่ยว ซึมเศร้า ซึ่งต่างจากสภาพของคนที่กำลังจะเป็นเจ้าบ่าวทั่วๆไป เมื่อเดินไปถึงบ้านของชายชรา พ่อของเจ้าสาวออกมาเปิดประตูต้อนรับและเชิญเข้าบ้านด้วยตัวเอง พวกเขาสนทนาแลกเปลี่ยนกันซักพัก จนชายชราพูดขึ้นว่า

"ลูกชายเอ๋ย...เข้าไปหาภรรยาของเจ้าได้แล้ว ขออัลลอฮ์ทรงประทานความศิริมงคลแก่เจ้าทั้งสอง และขอให้เจ้าทั้งสองใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันด้วยความดีงาม" ชายชราจูงมือชายหนุ่มเดินไปส่งที่ห้องซึ่งลูกสาวของเขารออยู่ เมื่อนั้น สิ่งที่ชายหนุ่มปรากฎแก่สายตาเบื้องหลังประตูที่เขาเปิดเข้าไปคือ หญิงสาวผิวเนียนขาวนวลดุจแสงจันทร์ ผมของนางยาวสลวยลงปกบ่าทั้งสอง นางงดงามยิ่งกว่าสตรีคนไหน นางลุกยืนขึ้นเดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับกล่าวให้สลามว่า

"อัสสลามุอลัยกะ สามีของฉัน..." ชายหนุ่มยืนนิ่งจนแทบจะหยุดหายใจ เขารู้สึกยังกับว่ากำลังเบื้องหน้าเขานั้นคือนางสวรรค์ที่ลงมายังพื้นโลก เขาแทบไม่เชื่อว่าสิ่งดังกล่าวนั้นมันเกิดขึ้นจริงและเหตุใดพ่อของนางจึงบอกกับเขาเช่นนั้น

เมื่อหญิงสาวเห็นเขาเช่นนั้น เธอเข้าใจทันทีว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ นางจึงขยับเข้าไปชิดและจับมือ จากนั้นจึงจูบลงที่มือของเขาพร้อมบอกกับเขาว่า "ดวงตาของฉันมืดบอดจากการมองสิ่งที่ฮะรอม ฉันเป็นหญิงใบ้จากกาพูดสิ่งที่ต้องห้าม หูของฉันหนวกจากการฟังสิ่งชั่วร้าย และขาทั้งสองของฉันพิการในการจะก้าวไปสู่สถานที่อโคจร...ฉันอยู่กับพ่อของฉันเพียงลำพัง ตลอดหลายปีมานี้ คุณพ่อเสาะหาว่าใครเป็นคนดีที่เหมาะสมจะแต่งงานกับฉัน กระทั่งได้มาเจอท่านที่เป็นเดือดเป็นร้อน เสียใจร่ำไห้กับแค่แอปเปิ้ลเพียงลูกเดียว คุณพ่อจึงรู้ได้ทันทีว่า ถ้าคนๆหนึ่งกลัวว่า การกินแอปเปิ้ลลูกเดียวโดยไม่ได้รับอนุญาตจะเป็นความผิดจะติดตัวเขาไปโลกหน้าแล้ว สำหาอะไรกับลูกสาวของเขาทั้งคนที่เขาจะปล่อยปละละเลยได้...!"

หลังจากแต่งงานกันได้ 1 ปี หญิงสาวคนนี้ได้ให้กำเนิดลูกชาย ซึ่งเด็กคนนี้ ภายหลังกลายเป็นปรากฏการณ์ที่นานๆครั้งจะเกิดขึ้นกับประชาชาตินี้...คุณรู้ไหม เด็กคนที่ว่านี้คือใคร..??

...

...

เขาก็คือ "อิหม่ามอบูฮะนีฟะฮ์ อัลนุอ์มาน" เจ้าของสำนักคิดทางกฎหมายอิสลาม(มัษฮับ)ฮะนะฟีย์ อันมีมุสลิมผู้ถือปฏิบัติตามมากที่สุดในโลก นั่นเอง....

เล่าเรื่องโดย
อาดัม เปลี่ยนอำรุง



#ประชาชาติอิสลาม_Islamic_Society_Online
Islamic Society Online



read more "เหตุมันเกิดจาก...แอปเปิ้ลลูกเดียว...!!?"

บทความแนะนำ

World Clock

Featured Posts

เรื่องราวของสองอารยธรรม : อารยธรรมของชาวไวกิ้งและมุสลิม

เรื่องราวของสองอารยธรรม : อารยธรรมของชาวไวกิ้งและมุสลิม โดย : Cem Nizamoglu และ Sairah Yassir-Deane ย้อนหลังไปถึงมีนาคม 2015 ข่าวเกี่ยวก...