product :

วันจันทร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2560

สถาปัตยกรรมอิสลามสมัยราชวงศ์อุมัยยาฮ์ (ค.ศ.661-750) : Muslim Architecture under the Umayyad Patronage (661-751 AD)

สถาปัตยกรรมอิสลามสมัยราชวงศ์อุมัยยาฮ์ (ค.ศ.661-750)
Muslim Architecture under the Umayyad Patronage (661-751 AD)


โดมออฟเดอะร็อค (Dome of the Rock) หรือมัสยิดอัล-ซอครอฮ
ในอาณาบริเวณมัสยิดอัล-อักซอ กรุงเยรูซาเล็ม ปาเลสไตน์
อุมัยยาฮ์เป็นราชวงศ์แห่งแรกสุดของอิสลาม มีกรุงดามัสกัส ซีเรีย เป็นเมืองหลวง แม้ราชวงศ์นี้ยืนยาวเพียง 90 ปี แต่ก็ได้สร้างสร้างสรรค์ศิลปะและสถาปัตยกรรมไว้ให้โลกใบนี้ไว้ไม่น้อย


ภายใต้การนำของคอลีฟะฮ์ราชวงศ์อุมัยยาฮ์ อิสลามได้แผ่ขยายไปสู่ดินแดนส่วนใหญ่ที่เป็นโลกมุสลิมในปัจจุบัน และเมื่อถึงกลางศตวรรษที่ 8 อาณาจักรคอลีฟะฮ์มุสลิมก็กินดินแดนจากดามัสกัสไปด้านตะวันออกถึงเมืองทัชเคนท์ (อุซเบกิสถาน) และด้านตะวันตกถึงเทือกเขาพีเรนีส (กั้นระหว่างสเปนกับฝรั่งเศส) สเปนและโปรตุเกสได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิมุสลิม


นอกเหนือจากการขยายดินแดนแล้ว ราชวงศ์อุมัยยาฮ์ยังโดดเด่นด้านการจัดการบริหารองค์กร, การค้า, และจัดทำเหรียญทองเพื่อใช้ในการแลกเปลี่ยนสินค้าเป็นครั้งแรก


ในด้านศิลปะนั้นเล่า อุมัยยาฮ์ได้สร้างสรรค์ผลงานสถาปัตยกรรมชิ้นเอกของโลกไว้ 2 ชิ้นคือ ‘โดมออฟเดอะร็อค’ (Dome of the Rock หรือมัสยิดอัล-ซอครอฮ ตั้งอยู่ในอาณาบริเวณมัสยิดอัล-อักซอ ที่กรุงเยรูซาเล็ม ปาเลสไตน์) และมัสยิดดามัสกัส


บทความชิ้นนี้จะกล่าวถึงมัสยิดทั้งสองแห่งนี้ นวัตกรรมใหม่ๆ ทางสถาปัตยกรรม และงานศิลปะที่รังสรรค์ขึ้นมาเป็นเพชรน้ำงามของโลกอิสลาม

ภูมิหลัง


หลังจากท่านอาลี (Ali ค.ศ.599-660) คอลีฟะฮ์คนที่สี่ของอิสลามเสียชีวิตลง มุอาวียา (Muawiyah I ค.ศ.602-680) ก็ขึ้นครองบัลลังก์เป็นคอลีฟะฮ์หรือกาหลิบ และเริ่มต้นยุคของราชวงศ์อุมัยยาฮ์


ยุคนี้มีชื่อเสียงโดดเด่นด้านความสำเร็จทางสถาปัตยกรรม แม้ช่วงแรกของการก่อตั้งราชวงศ์จะมีศึกภายในอาณาจักรเองระหว่างอุมัยยาฮ์กับผู้ที่ภักดีต่อท่านอาลี แต่หลังจากนั้นแล้วบ้านเมืองก็คืนกลับสู่ความสงบสุข และยังผนวกดินแดนอิรัก อิหร่าน ซีเรีย เข้าใต้ร่มธงอิสลาม ทำให้เกิดการพัฒนาผลงานศิลปะและสถาปัตยกรรม เห็นได้จากทั้งอาคารศาสนาและอาคารทั่วไป


และการพัฒนาทางสถาปัตยกรรมมัสยิดที่สำคัญที่สุดของโลกมุสลิม ซึ่งเป็นรากฐานให้กับนวัตกรรมการก่อสร้างมัสยิดเวลาต่อมา ก็ต้องให้เครดิตกับราชวงศ์อุมัยยาฮ์ในยุคนี้เอง


ปีค.ศ.673 กาหลิบมุอาวียาเริ่มก่อสร้างมินาเร่ หรือหออะซาน ขึ้นมาเป็นครั้งแรกของโลกอิสลาม คือในการขยายมัสยิดอามีรอิบนุอัล-อาซ (‘Amr ibn al-‘As ค.ศ.583-664 แม่ทัพผู้นำทัพมุสลิมเข้ายึดครองอียิปต์ได้ในปี 640) ที่อียิปต์ มัสยิดหลังนี้ก่อสร้างครั้งแรกสุดในปี 641-642 ต่อมาในสมัยกาหลิบมุอาวียาก็มีการก่อสร้างหออะซานขึ้นมาทั้งสี่มุม Creswell (1958, p14) ให้ความเห็นว่า นวัตกรรมชิ้นนี้เป็นการเลียนแบบสถาปัตยกรรมของชาวคริสต์ในซีเรีย เขาระบุว่า มุสลิมยุคแรกๆ ของดามัสกัสละหมาดกันในวิหารร้างของชาวคริสต์ชื่อ ‘โบสถ์เซนต์จอห์นเดอะแบบติสท์’ ซึ่งตรงมุมทั้งสี่ของโบสถ์เป็นโครงยื่นนูนออกมา ชาวมุสลิมก็เลยปีนขึ้นไปบนนั้นเพื่ออะซานเรียกคนมาละหมาด และก็กลายเป็นแรงบันดาลใจให้มีการก่อสร้างหออะซานขึ้นมา (ตัวอย่างเช่น Briggs, 1924, & Creswell, 1926) ส่วนสมมติฐานอื่นๆ ของกำเนิดหออะซานก็คือ อิทธิพลจากประภาคารของฟาโรห์ (Mitchell, et al., 1973)


มัสยิดดามัสกัส (สร้างปี 706-715) มีนวัตกรรมอื่นๆ ที่ราชวงศ์อุมัยยาฮ์ได้ริเริ่มให้มีขึ้นมาอีกคือ โค้งซุ้มหินรอบๆ ลานมัสยิด ซึ่งประกอบไปด้วยโค้งรูปเกือกม้า และที่นี่เองเป็นที่แรกของโลกที่โค้งรูปเกือกม้าได้ถือกำเนิดขึ้นมา ซึ่งประจักษ์พยานที่เห็นนี้ได้ลบล้างข้ออ้างของนักวิชาการบางรายที่บอกว่าชาวมุสลิมได้รับอิทธิพลโค้งรูปเกือกม้ามาจากชาววิซิโกธ สเปน (Briggs, 1924, p.42 ซึ่งเป็นข้ออ้างที่ตลกมากๆ อย่าลืมว่าชาวมุสลิมมัวร์เพิ่งไปยึดสเปนและโปรตุเกสได้ในปี 711 และโปรดอ่านความเห็นของ เซอร์คริสโตเฟอร์ เรน ยอดสถาปนิกอังกฤษ: ‘เราเรียกลักษณะของสถาปัตยกรรมแบบนี้ว่า ‘กอธิค’ ทั้งๆ ที่ชาวโกธ (Goth) เป็นผู้ทำลายมากกว่าผู้สร้างสรรค์ ผมคิดว่าด้วยเหตุและผลแล้วเราต้องเรียกว่า ‘สไตล์ซาราเซ็นนิก’ ต่างหาก เพราะคนเหล่านั้น (ชาวโกธ) มิได้สนใจศิลปะหรือการศึกษาแต่อย่างใด’)


โค้งมัลติฟอยล์ (multifoil โค้งหยักๆ เป็นรูปกลีบดอกไม้สวยๆ) ก็เริ่มรังสรรค์ขึ้นมาครั้งแรกโดยสถาปนิกมุสลิมที่มัสยิดอุมัยยาฮ์เช่นกัน ซึ่งก่อสร้างขึ้นมาในหออะซาน ต่อมาโค้งชนิดนี้ถ่ายทอดไปสู่ส่วนต่างๆ ของโลกมุสลิม ก่อนจะข้ามไปสู่ยุโรปซึ่งได้ใช้กันอย่างแพร่หลายในโบสถ์และอาคารทั่วไป


นวัตกรรมอีกอย่างหนึ่งของสถาปัตยกรรมอิสลามสมัยราชวงศ์อุมัยยาฮ์ก็คือโดมเหนือจุดตัดบริเวณโถงกลางด้านหน้ามิห์ราบ โปรดรู้ไว้ด้วยว่าลักษณะเด่นของสถาปัตยกรรมนี้ซึ่งในเวลาต่อมาเห็นได้ทั่วไปในโบสถ์คริสต์ เริ่มใช้เป็นครั้งแรกในมัสยิดอุมัยยาฮ์นี่เอง และก็ได้กลายเป็นลักษณะเด่นของมัสยิดในยุคหลัง ๆ ยิ่งไปกว่านั้น อิบนุ คอลดูน (1967) ยังบอกว่า การริเริ่มใช้ maqsura ก็เกิดขึ้นโดยสถาปนิกมุสลิมในสมัยอุมัยยาฮ์เช่นกัน โดยมุอาวียาได้ให้สร้าง maqsura เป็นห้องหรือช่องที่แยกออกมาจากมิห์ราบเพื่อเป็นที่ส่วนตัวของพระองค์


ต่อมาเมื่ออัล-วาลีด (Al-Walid I ค.ศ.668-715 ครองราชย์ค.ศ.705-715) ได้ขึ้นครองราชย์เป็นกาหลิบ พระองค์ก็ได้ให้บูรณะมัสยิดนาบาวีหรือมัสยิดท่านศาสนฑูตที่เมืองมาดีนาเสียใหม่ เพราะหลังเก่ามีขนาดเล็กเกินไม่เพียงพอกับจำนวนผู้ศรัทธาที่มีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ช่วงค.ศ.707-709 อัล-วาลีดขยายมัสยิดนาบาวี สร้างหออะซานสี่มุม สร้างมิห์ราบขึ้นมาตรงกลางของผนังด้านทิศกิบลัต ที่มาของมิห์ราบมีคนสันนิษฐานแตกต่างกันไปมากมาย ส่วนใหญ่บอกว่ามาจากรูปแบบของมุขตะวันออกในสถาปัตยกรรมคริสเตียน ส่วนในอิสลาม มิห์ราบกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของช่องเล็กๆ ที่มีรัศมีพระเจ้าส่องสว่างด้านหน้าผู้ศรัทธา ช่วยให้ผู้ศรัทธารู้สึกสงบและมีสมาธิระหว่างละหมาด หน้าที่อีกอย่างหนึ่งของมิห์ราบก็คือเป็นสัญลักษณ์ชี้บอกทิศกิบลัตหรือทิศของนครเมกกะ

โดมออฟเดอะร็อค


จากจารึกบนอาคาร เราพบว่าโดมออฟเดอะร็อคถูกก่อสร้างขึ้นช่วงปีค.ศ.691-692 ในรัชสมัยกาหลิบอับดุลมาลิก (Abd al-Malik ค.ศ.646-705) มัสยิดหลังนี้ตั้งอยู่ใจกลางอัลฮะรอม อัชชารีฟ และสร้างครอบ ‘ซอครอฮ’ หรือที่ชาวไทยมุสลิมเรียกว่า ‘หินลอย’ ซึ่งเป็นบริเวณที่ท่านศาสนฑูตมุฮัมมัด (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน) ได้ขึ้นสู่สวรรค์ไปกับฑูตสวรรค์ยิบรีล (เกเบรียล) ในเหตุการณ์มิอ์ราจเพื่อรับบัญชาจากพระเจ้า


การที่กาหลิบอับดุลมาลิกสร้างโดมออฟเดดอะร็อคครอบหินลอยเอาไว้ก็เพราะต้องการแข่งกับอิบนุซูบีร (Ibn Zubayr ค.ศ.624-692 เป็นหลานตาของท่านอบูบักร์ คอลีฟะฮ์คนแรกของอิสลาม) ในการอุทิศให้กับอิสลาม โดยก่อนหน้านี้ในช่วงปี 683-692 อิบนุซูบีรได้บูรณะอัล-กะบะฮ์ที่เมกกะ


ในขณะที่มีนักเขียนบางราย (Grabar, 1959) อ้างว่า การที่กาหลิบอับดุลมาลิกก่อสร้างโดมออฟเดอะร็อคก็เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะของอิสลามเหนือศาสนาอื่นโดยเฉพาะจูดายและคริสตศาสนา แต่ข้ออ้างนี้น่าสงสัย เพราะจริงๆ แล้วมัสยิดหลังนี้สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยคอลีฟะฮ์อุมัร (Umar ค.ศ.581-644 เป็นคอลีฟะฮ์ค.ศ.634-644) คอลีฟะฮ์คนที่สองของอิสลาม หลังจากมุสลิมได้เข้ายึดครองกรุงเยรูซาเล็ม


อีกความเห็นหนึ่งที่ระบุถึงแรงบันดาลใจของกาหลิบอับดุลมาลิกก็คือ พระองค์ต้องการสร้างความอลังการให้กับอาณาบริเวณมัสยิดอัล-อักซอดังที่ได้ระบุไว้ในอัล-กุรอาน


(อาณาบริเวณมัสยิดอัล-อักซอมีมัสยิดสองหลังคือ 1) มัสยิดอัล-อักซอ ตั้งอยู่ด้านล่าง เป็นที่ละหมาดของผู้ชาย กำแพงด้านหนึ่งของตรงนี้เป็นสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ของวิหารกษัตริย์โซโลมอนหรือนบีสุไลมานซึ่งก็คือ ‘กำแพงร้องไห้’ ของชาวยิว และ 2) มัสยิดอัล-ซอครอฮที่ครอบหินลอยไว้ ตั้งอยู่บนเนินสูงสุด เป็นที่ละหมาดสำหรับผู้หญิง มัสยิดหลังนี้สร้างได้วิจิตรพิศดารมากๆ และสาวๆ ปาเลสไตน์ก็สวยสุดๆ – ผู้แปล)


ความมหัศจรรย์ของอาคารหลังนี้เห็นได้หลายระดับ ทั้งรูปแบบเรขาคณิตของผังและการยกระดับ, ความสัมพันธ์ระหว่างโดม โค้ง เสาหิน ทั้งหมดมีสัดส่วนที่สอดรับกลมกลืนกันและเป็นหนึ่งเดียวกัน ถูกเน้นด้วยการตกแต่งอย่างหรูหราด้วยหินอ่อนประดับหลากสีและโมเสคหลายสีสัน ผนังด้านนอกเป็นหินอ่อนทรงสี่เหลี่ยม เหนือขึ้นไปเป็นกระเบื้องเตอร์กิชที่จักรวรรดิออตโตมานนำมาเสริมเข้าไปในในปีค.ศ.1554 เพิ่มเสน่ห์ทั้งสีสันและรูปแบบที่สวยงามจับตา


ความงามของโดมออฟเดอะร็อคเป็นที่เลื่องลือไปทั่วโลกและท้าทายอคติที่มีต่อสถาปัตยกรรมมุสลิมยิ่งนัก



มัสยิดดามัสกัส


อาคารอีกหลังหนึ่งที่บ่งบอกถึงความรุ่งโรจน์ด้านสถาปัตยกรรมของราชวงศ์อุมัยยาฮ์ก็คือ มัสยิดดามัสกัส เรื่องราวเบื้องหลังการก่อสร้างมัสยิดหลังนี้แสดงให้เห็นถึงความใจกว้างของชาวมุสลิมที่มีต่อศาสนาอื่นโดยเฉพาะคริสตศาสนาและจูดาย


หลังจากอิสลามขยายสู่ดามัสกัส ชาวมุสลิมจำเป็นต้องเปลี่ยนวิหารร้างของคริสเตียนที่ชื่อว่า ‘จอห์นเดอะแบบติสท์’ ให้เป็นมัสยิด กาหลิบอัล-วาลีดได้ซื้อที่ดินผืนนี้จากชาวคริสต์ก่อนจะเปลี่ยนให้เป็นมัสยิดกลางของกรุงดามัสกัส มัสยิดมีรูปร่างสี่เหลี่ยมมุมฉาก ตัวอาคารหันหน้าไปทางทิศกิบลัต


ด้านทิศกิบลัตหรือด้านทิศใต้จะมีทางเดินข้างสามแถวขนานกันเป็นแนวจากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตก และแบ่งกันตรงกลางโดยทางเดินกลางเหนือขึ้นไปมีโดมอยู่ตรงกลาง (สี่เหลี่ยมจัตุรัส) ห้องโถงเปิดไปยังลานกว้างด้วย riwaq เดี่ยว และใช้ศิลปะตกแต่งลวดลายพันธุ์ไม้รวมกับทัศนียภาพปกคลุมด้านหน้ามัสยิดและโค้งซุ้ม การตกแต่งรูปแบบดังกล่าวก็พบในโดมออฟเดอะร็อคชี้ให้เห็นว่าในมัสยิดทั้งสองแห่งได้รับอิทธิพลจากซีเรียมากกว่าที่จะได้รับอิทธิพลไบเซนไทน์ดังที่นักประวัติศาสตร์ตะวันตกมักอ้างเสมอ

พระราชวังอุมมัยยาฮ์



กาหลิบและสมาชิกราชวงศ์อุมมัยยาฮ์พำนักในพระราชวังที่สร้างเพื่อเอื้ออำนวยกับงานอดิเรกอย่างการล่าสัตว์และสวนขนาดใหญ่ ทางราชสำนักจึงสร้างป้อมปราการหลายชุดใช้กำแพงอย่างหนา มีเครื่องอำนวยความสะดวกทุกอย่างเพื่อสนองตอบชีวิตหรูหราในราชสำนัก ในบรรดาวังเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ประกอบด้วย กัซร์ อัมรา (Qasr Amra จอร์แดน ราวปี 715), กัซร์ อัล-การานาฮ์ (Qasr al-Kharanah จอร์แดน ปี 711), คิร์บีตัลมัฟจัร (Khirbet al-Mafjar จอร์แดน ปี 743-744), และมาชัตตา (Meshatta ปี 750 ตอนอุมัยยาฮ์ล่มสลาย วังหลังนี้ยังสร้างไม่เสร็จ)


ในพระราชวังเหล่านี้ ราชวงศ์อุมัยยาฮ์ได้แสดงให้เห็นถึงอัจฉริยภาพด้านสถาปัตยกรรมและการตกแต่ง ในด้านการออกแบบ วังเหล่านี้ประกอบด้วยห้องโถงขนาดใหญ่ ห้องอาบน้ำ ที่พักของชายและหญิง มัสยิด อุทยาน และสวน ซึ่งเหล่านี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงมาตรฐานการใช้ชีวิตที่หรูหราและอำนาจทางการทหาร (Mitchel et al. 1978) โครงสร้างของวังเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการใช้ระบบเพดานโค้งที่ปรานีต มีโดมและเพดานโค้งประทุน (เช่นที่ กัซร์อัมรา)


ด้านการตกแต่ง วังเหล่านี้ตกแต่งด้วยรูปแบบที่สวยงามเก๋ไก๋ที่สุดตั้งแต่ใช้พื้นโมเสคไปจนถึงผนังที่ประดับประดาด้วยกระเบื้องที่ใช้ลวดลายเรขาคณิตและพันธุ์พฤกษา

บทสรุป


ภายใต้การปกครองของราชวงศ์อุมัยยาฮ์ อิสลามได้แผ่ขยายออกไปกว้างใหญ่ไพศาลนัก สร้างความร่ำรวยมั่งคั่งและรุ่งเรืองให้กับอาณาจักรอย่างมหาศาล ซึ่งเป็นผลให้ก่อเกิดศิลปะและสถาปัตยกรรมรูปแบบใหม่ๆ ในยุคสมัยนี้ การก่อสร้างมัสยิดได้มีรูปแบบและลักษณะต่างๆ ที่ทำหน้าที่ต่างกันเช่น หออะซาน มิห์ราบ Maksurah และโดม ส่วนศิลปะการตกแต่งก็ค่อยๆ พัฒนาตามมา

แปลโดย ลานา อัมรีล

ที่มา : Muslim Architecture under the Umayyad Patronage (661-751 AD). Foundation for Science Technology and Civilization (FSTC Limited): UK. January 2002.

Website : http://www.knowislamthailand.org 

#ประวัติศาสตร์อิสลาม_Islamic_Society_Online
#อารยธรรมอิสลาม_Islamic_Society_Online
Islamic Society Online



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความแนะนำ

World Clock

Featured Posts

เรื่องราวของสองอารยธรรม : อารยธรรมของชาวไวกิ้งและมุสลิม

เรื่องราวของสองอารยธรรม : อารยธรรมของชาวไวกิ้งและมุสลิม โดย : Cem Nizamoglu และ Sairah Yassir-Deane ย้อนหลังไปถึงมีนาคม 2015 ข่าวเกี่ยวก...