วีรสตรีแห่งมนุษยธรรม
โดอา อัลซาเมล (Doaa Al-Zamel) ภาพประกอบจาก http://www.unhcr.org/5475d4626.html
เมื่อปลายปี 2014 เราอาจได้ยินข่าวการจมเรือผู้ลี้ภัยจากอัฟริกาและตะวันออกกลางในทะเลเมดิเตอเรเนียนโดยกลุ่มนักค้ามนุษย์ เหตุการณ์ในครั้งนั้นมีผู้รอดชีวิต 11 คนจากจำนวนผู้อพยพทั้งหมด 500 คนที่โดยสารกันมาอย่างแออัดในเรือขนาดเล็ก แต่เราอาจจะไม่เคยรับรู้เลยว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นได้สร้างวีรสตรีผู้เป็นที่กล่าวขวัญกันอย่างกว้างขวางถึงความกล้าหาญและความมีมนุษยธรรมของเธอ
เรื่องราวที่ว่านี้เป็นเกิดขึ้นกับโดอา อัลซาเมล (Doaa Al-Zamel) สาวน้อยชาวซีเรียวัย 19 ปีที่ต้องหนีภัยสงครามในซีเรียและความลำบากในค่ายผู้อพยพของอียิปต์ที่เธอใช้เป็นที่ลี้ภัยมาแล้วกว่า 3 ปี โดอาตัดสินใจเดินทางออกจากค่ายผู้ลี้ภัยในอียิปต์เพราะเธอเห็นแล้วว่าหากใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นต่อไปเธอคงเป็นคนไร้อนาคตอย่างแน่นอน เพราะสงครามในซีเรียก็ไม่มีท่าทีจะสิ้นสุด และสภาพของค่ายผู้อพยพในอียิปต์ก็ทำให้ชีวิตของเธอมีแต่ย่ำแย่ลงไปทุกวัน โดอากับบัซเซ็มคู่หมั้นของเธอตัดสินใจจ่ายเงินให้กับเรือที่ขนส่งผู้ลี้ภัยไปยังยุโรป แม้ทั้งสองจะเคยได้ยินความเลวร้ายของขบวนการค้ามนุษย์ที่อาศัยทำมาหากินอยู่กับผู้ลี้ภัย ในที่สุดทั้งสองก็ได้เดินทางมาในเรือลำหนึ่งที่บรรทุกผู้อพยพจากชาติต่าง ๆ ในอัฟริกาและตะวันออกกลางอีกประมาณ 500 ชีวิตที่อัดแน่นกันมาเต็มลำเรือเพื่อลี้ภัยไปยังประเทศในยุโรป
แต่แล้วเรือของโดอาก็ถูกจมลงอย่างโหดเหี้ยมโดยพวกนักค้ามนุษย์ที่ลักลอบพาพวกเขาข้ามฝั่ง โดอาเล่าว่าขณะที่พวกเขาจมเรือของผู้อพยพนั้นพวกนักค้ามนุษย์เหล่านั้นหัวเราะกันอย่างขบขันและสนุกสนาน แต่โดอาโชคดีที่สามารถคว้าห่วงยางชูชีพแบบเด็กเล่นไว้ได้ เธอจึงใช้อุปกรณ์เพียงชิ้นเดียวนี้เป็นทียึดเกาะเพื่อเอาชีวิตรอดในขณะที่เธอว่ายน้ำไม่เป็นและอยู่ในสภาวะขวัญผวา แต่ในไม่ช้าโดอาก็ต้องเผชิญหน้ากับความตายของเพื่อนร่วมลำเรือที่ลอยคออยู่รอบข้างและค่อย ๆ ทั้งตัวลงสู่มหาสมุทรไปทีละคนสองคน โดยหนึ่งในนั้นคือคู่หมั้นของเธอซึ่งกำลังพยุงตัวอยู่ในน้ำข้าง ๆ เธอและกำลังจะหมดแรงลงในไม่ช้า
วินาทีสำคัญมาถึงเมื่อพ่อของมาลิกทารกน้อยอายุ 9 เดือนขอให้โดอาช่วยรับเด็กน้อยไว้ในห่วงชูชีพเล็ก ๆ ของเธอเพราะเขากำลังจะหมดแรง โดอารับมาลิกไว้ในอ้อมกอดของเธอด้วยความเต็มใจ
แต่แล้ววินาทีที่เจ็บปวดที่สุดก็มาถึงเมื่อบัซเซ็มคู่หมั้นของเธอหมดแรงที่จะลอยตัวต่อไปและในที่สุดเขาก็ต้องกล่าวคำอำลาเธอก่อนจะจมดิ่งลงสู่ก้นบึ้งมหาสมุทรไปต่อหน้าต่อตา
แล้วโดอาก็ต้องเผชิญกับวินาทีสำคัญอีกครั้งเมื่อแม่ของมาซาเด็กน้อยวัย 1 ขวบครึ่งขอให้โดอาช่วยรับลูกสาวของเธอไว้ก่อนที่เธอจะหมดแรงจมน้ำไปอีกคน นับจากวินาทีนั้นโดอารู้ว่าสิ่งที่เธอพอจะทำได้มีเพียงการช่วยประคับประคองทั้งสองชีวิตไว้ในห่วงชูชีพเล็ก ๆ ที่เธออาศัยเอาชีวิตรอด เธอพยายามปลอบโยนเด็กทั้งสอง ร้องเพลง และอ่านถ้อยคำจากอัลกุรอานให้พวกเขาฟัง
แต่แล้ววินาทีสำคัญก็มาถึงอีกครั้งเมื่อแม่ของเด็กชายอายุ 4 ขวบคนหนึ่งขอให้โดอาช่วยรับเด็กน้อยไว้ในห่วงชูชีพเดียวกับเธอก่อนที่เธอจะจมน้ำไปอีกคน แต่ไม่นานนักเด็กน้อยคนนั้นกลับสิ้นชีวิตลงทำให้โดอาจำใจต้องปล่อยหนูน้อยคนนั้นลงน้ำไป เหลือเพียงเธอและอีกสองชีวิตน้อย ๆ ที่รายรอบไปด้วยซากศพที่มีสภาพขึ้นอืดน่ากลัวลอยอยู่รอบข้าง
และแล้วปาฏิหารย์ก็เกิดขึ้น ในค่ำคืนของวันที่สี่ที่โดอาและเด็กน้อยทั้งสองพยายามเอาชีวิตรอดอยู่ในห่วงชูชีพเล็กๆโดยปราศจากน้ำและอาหารก็มีเรือสินค้าลำหนึ่งของกรีกได้พบพวกเขาและพยายามช่วยชีวิตพวกเขาไว้ แต่โดอาก็ต้องรับรู้ข่าวร้ายว่าเด็กน้อยมาลิกได้จากเธอไปเสียแล้วหลังจากได้รับการช่วยเหลือได้ไม่นาน มีเพียงหนูน้อยมาซาเท่านั้นที่รอดชีวิตราวปาฏิหารย์
ทำไมคนที่กำลังจะตาย ตื่นตระหนก และไม่มีหนทางแม้จะช่วยเหลือตนเองถึงยังพยายามช่วยเหลืออีกสามชีวิตให้รอด ทำไมคนที่ต้องทิ้งบ้านเรือนของพวกเขาทั้งๆที่ไม่เต็มใจด้วยเหตุแห่งภัยสงครามซึ่งเกินกำลังที่พวกเขาจะหลีกเลี่ยง กลับได้รับการเหลียวแลจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเพียงน้อยนิด ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านของซึเรียกำลังแบกรับภาระผู้อพยพที่หนีภัยสงครามกว่าครึ่งค่อนประเทศ ทำไมโลกที่ร่ำรวยกว่า ที่มีความเจริญรุ่งเรืองกว่าในทุกด้านถึงยินดีที่จะปล่อยให้เพื่อนมนุษย์ต้องเผชิญหน้ากับภัยสงครามเพียงลำพังโดยไม่ได้ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ เหล่านี้คือคำถามที่ Melissa Fleming โฆษกของ UNHCR พยายามชี้ชวนให้เพื่อนมนุษย์ได้คิดตาม และช่วยกันแก้ปัญหาในสิ่งที่เราพอจะทำได้
รับฟังเรื่องราวของสาวน้อยโดอาจากคำบอกเล่าของ Melissa Fleming ได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=c00zfzk4gdg
อ่านเรื่องราวเพิ่มเติมได้ที่ http://www.unhcr.org/5475d4626.html
เมื่อปลายปี 2014 เราอาจได้ยินข่าวการจมเรือผู้ลี้ภัยจากอัฟริกาและตะวันออกกลางในทะเลเมดิเตอเรเนียนโดยกลุ่มนักค้ามนุษย์ เหตุการณ์ในครั้งนั้นมีผู้รอดชีวิต 11 คนจากจำนวนผู้อพยพทั้งหมด 500 คนที่โดยสารกันมาอย่างแออัดในเรือขนาดเล็ก แต่เราอาจจะไม่เคยรับรู้เลยว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นได้สร้างวีรสตรีผู้เป็นที่กล่าวขวัญกันอย่างกว้างขวางถึงความกล้าหาญและความมีมนุษยธรรมของเธอ
เรื่องราวที่ว่านี้เป็นเกิดขึ้นกับโดอา อัลซาเมล (Doaa Al-Zamel) สาวน้อยชาวซีเรียวัย 19 ปีที่ต้องหนีภัยสงครามในซีเรียและความลำบากในค่ายผู้อพยพของอียิปต์ที่เธอใช้เป็นที่ลี้ภัยมาแล้วกว่า 3 ปี โดอาตัดสินใจเดินทางออกจากค่ายผู้ลี้ภัยในอียิปต์เพราะเธอเห็นแล้วว่าหากใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นต่อไปเธอคงเป็นคนไร้อนาคตอย่างแน่นอน เพราะสงครามในซีเรียก็ไม่มีท่าทีจะสิ้นสุด และสภาพของค่ายผู้อพยพในอียิปต์ก็ทำให้ชีวิตของเธอมีแต่ย่ำแย่ลงไปทุกวัน โดอากับบัซเซ็มคู่หมั้นของเธอตัดสินใจจ่ายเงินให้กับเรือที่ขนส่งผู้ลี้ภัยไปยังยุโรป แม้ทั้งสองจะเคยได้ยินความเลวร้ายของขบวนการค้ามนุษย์ที่อาศัยทำมาหากินอยู่กับผู้ลี้ภัย ในที่สุดทั้งสองก็ได้เดินทางมาในเรือลำหนึ่งที่บรรทุกผู้อพยพจากชาติต่าง ๆ ในอัฟริกาและตะวันออกกลางอีกประมาณ 500 ชีวิตที่อัดแน่นกันมาเต็มลำเรือเพื่อลี้ภัยไปยังประเทศในยุโรป
แต่แล้วเรือของโดอาก็ถูกจมลงอย่างโหดเหี้ยมโดยพวกนักค้ามนุษย์ที่ลักลอบพาพวกเขาข้ามฝั่ง โดอาเล่าว่าขณะที่พวกเขาจมเรือของผู้อพยพนั้นพวกนักค้ามนุษย์เหล่านั้นหัวเราะกันอย่างขบขันและสนุกสนาน แต่โดอาโชคดีที่สามารถคว้าห่วงยางชูชีพแบบเด็กเล่นไว้ได้ เธอจึงใช้อุปกรณ์เพียงชิ้นเดียวนี้เป็นทียึดเกาะเพื่อเอาชีวิตรอดในขณะที่เธอว่ายน้ำไม่เป็นและอยู่ในสภาวะขวัญผวา แต่ในไม่ช้าโดอาก็ต้องเผชิญหน้ากับความตายของเพื่อนร่วมลำเรือที่ลอยคออยู่รอบข้างและค่อย ๆ ทั้งตัวลงสู่มหาสมุทรไปทีละคนสองคน โดยหนึ่งในนั้นคือคู่หมั้นของเธอซึ่งกำลังพยุงตัวอยู่ในน้ำข้าง ๆ เธอและกำลังจะหมดแรงลงในไม่ช้า
วินาทีสำคัญมาถึงเมื่อพ่อของมาลิกทารกน้อยอายุ 9 เดือนขอให้โดอาช่วยรับเด็กน้อยไว้ในห่วงชูชีพเล็ก ๆ ของเธอเพราะเขากำลังจะหมดแรง โดอารับมาลิกไว้ในอ้อมกอดของเธอด้วยความเต็มใจ
แต่แล้ววินาทีที่เจ็บปวดที่สุดก็มาถึงเมื่อบัซเซ็มคู่หมั้นของเธอหมดแรงที่จะลอยตัวต่อไปและในที่สุดเขาก็ต้องกล่าวคำอำลาเธอก่อนจะจมดิ่งลงสู่ก้นบึ้งมหาสมุทรไปต่อหน้าต่อตา
แล้วโดอาก็ต้องเผชิญกับวินาทีสำคัญอีกครั้งเมื่อแม่ของมาซาเด็กน้อยวัย 1 ขวบครึ่งขอให้โดอาช่วยรับลูกสาวของเธอไว้ก่อนที่เธอจะหมดแรงจมน้ำไปอีกคน นับจากวินาทีนั้นโดอารู้ว่าสิ่งที่เธอพอจะทำได้มีเพียงการช่วยประคับประคองทั้งสองชีวิตไว้ในห่วงชูชีพเล็ก ๆ ที่เธออาศัยเอาชีวิตรอด เธอพยายามปลอบโยนเด็กทั้งสอง ร้องเพลง และอ่านถ้อยคำจากอัลกุรอานให้พวกเขาฟัง
แต่แล้ววินาทีสำคัญก็มาถึงอีกครั้งเมื่อแม่ของเด็กชายอายุ 4 ขวบคนหนึ่งขอให้โดอาช่วยรับเด็กน้อยไว้ในห่วงชูชีพเดียวกับเธอก่อนที่เธอจะจมน้ำไปอีกคน แต่ไม่นานนักเด็กน้อยคนนั้นกลับสิ้นชีวิตลงทำให้โดอาจำใจต้องปล่อยหนูน้อยคนนั้นลงน้ำไป เหลือเพียงเธอและอีกสองชีวิตน้อย ๆ ที่รายรอบไปด้วยซากศพที่มีสภาพขึ้นอืดน่ากลัวลอยอยู่รอบข้าง
และแล้วปาฏิหารย์ก็เกิดขึ้น ในค่ำคืนของวันที่สี่ที่โดอาและเด็กน้อยทั้งสองพยายามเอาชีวิตรอดอยู่ในห่วงชูชีพเล็กๆโดยปราศจากน้ำและอาหารก็มีเรือสินค้าลำหนึ่งของกรีกได้พบพวกเขาและพยายามช่วยชีวิตพวกเขาไว้ แต่โดอาก็ต้องรับรู้ข่าวร้ายว่าเด็กน้อยมาลิกได้จากเธอไปเสียแล้วหลังจากได้รับการช่วยเหลือได้ไม่นาน มีเพียงหนูน้อยมาซาเท่านั้นที่รอดชีวิตราวปาฏิหารย์
ทำไมคนที่กำลังจะตาย ตื่นตระหนก และไม่มีหนทางแม้จะช่วยเหลือตนเองถึงยังพยายามช่วยเหลืออีกสามชีวิตให้รอด ทำไมคนที่ต้องทิ้งบ้านเรือนของพวกเขาทั้งๆที่ไม่เต็มใจด้วยเหตุแห่งภัยสงครามซึ่งเกินกำลังที่พวกเขาจะหลีกเลี่ยง กลับได้รับการเหลียวแลจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเพียงน้อยนิด ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านของซึเรียกำลังแบกรับภาระผู้อพยพที่หนีภัยสงครามกว่าครึ่งค่อนประเทศ ทำไมโลกที่ร่ำรวยกว่า ที่มีความเจริญรุ่งเรืองกว่าในทุกด้านถึงยินดีที่จะปล่อยให้เพื่อนมนุษย์ต้องเผชิญหน้ากับภัยสงครามเพียงลำพังโดยไม่ได้ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ เหล่านี้คือคำถามที่ Melissa Fleming โฆษกของ UNHCR พยายามชี้ชวนให้เพื่อนมนุษย์ได้คิดตาม และช่วยกันแก้ปัญหาในสิ่งที่เราพอจะทำได้
รับฟังเรื่องราวของสาวน้อยโดอาจากคำบอกเล่าของ Melissa Fleming ได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=c00zfzk4gdg
อ่านเรื่องราวเพิ่มเติมได้ที่ http://www.unhcr.org/5475d4626.html
แหล่งที่มา : https://ssuraiya1.wordpress.com/
#ประชาชาติอิสลาม_Islamic_Society_Online
#เรื่องเล่าคติเตือนใจ_Islamic_Society_Online
Islamic Society Online
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น