ประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับ การอิสรออ์ และ เมียะอ์รอจ ของท่านนบี ﷺ
ค่ำคืนอิสรออ์-เมี๊ยะรอจ
“ มหาบริสุทธิ์แด่พระองค์ ผู้ซึ่งให้บ่าวเดินทางในยามค่ำคืน จากมัสยิดอัล-หะรอมสู่มัสยิดอัล-อักศอที่พระองค์ได้ให้ความจำเริญโดยรอบ เพื่อเราจะได้ให้เขาเห็นสัญญาณต่างๆ ของเรา แท้จริง พระองค์ทรงได้ยิน พระองค์ทรงเห็น ”
(อัลอิสรออฺ :1)
ท่านนบี (ซ.ล) กล่าวว่า ในคืนที่ข้าพเจ้าถูกนำไปยังบัยตุ้ลมักดิสนั้น ข้าพเจ้านอนครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่ที่บ้านของอุมมุฮานีที่มักกะฮ์ ทั้งนี้ หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ละหมาดอีซาเรียบร้อยแล้ว ญิบรีลได้มาหาข้าพเจ้าพลางพูดว่า จงตื่นเถิดมูฮำหมัด ข้าพเจ้าจึงลุกขึ้น ข้าพเจ้าได้พบว่า เขาคือญิบรีล
ญิบรีลบอกว่า ไปหาพระเจ้าของท่าน พระเจ้าของทุกๆ สิ่ง
ท่าน อิมามบุคอรีย์และมุสลิมได้รายงานเรื่องราวดังกล่าวจากท่านอะนัส ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ ซึ่งมีเนื้อความว่า..
"ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า ฉันได้เดินทางโดยบุร๊อก ซึ่งบุร๊อกมีลักษณะคล้ายม้ามากกว่าลาแต่ก็ไม่ถึงกับคล้ายล่อ ซึ่งมันสามารถเดินเพียงก้าวเดียวก็ไปสุดลิบตา ฉันได้ขี่มันจนไปถึงบัยตุลมักดิส คือ มัสยิดอัลอักซอ ฉันได้เข้าไปในมัสยิดและทำการละหมาดสองรอกะอัต และฉันก็ออกมาจากมัสยิด ดังนั้นญิบรีลได้มาหาฉันโดยนำภาชนะที่มีเหล้า และก็อีกภาชนะหนึ่งเป็นน้ำนม และฉันก็เลือกดื่มน้ำนม ญิบรีลกล่าวว่า "ท่านได้เลือกความบริสุทธิ์ (ซึ่งชี้ให้เห็นว่าศาสนาอิสลามเป็นศาสนาแห่งความบริสุทธิ์นั่นเอง)
ข้าพเจ้าได้ขึ้นขี่พร้อมกับญิบรีล ครู่หนึ่งถัดจากนั้น ญิบรีลได้ใช้ให้ข้าพเจ้าลงจากหลังของบุร๊อก แล้วให้ข้าพเจ้าทำละหมาด เมื่อเสร็จแล้วญิบรีลได้ถามข้าพเจ้าว่า ท่านรู้ไหมว่านี่คือที่ไหน? ข้าพเจ้าตอบว่า ไม่รู้ ญิบรีลกล่าวว่า ที่นี่คือ “ตีบะฮ์” และยังสถานที่แห่งนี้ท่านจะต้องฮิจเราะฮ์มา อินซาอัลลอฮ์
ข้าพเจ้าและญิบรีลได้ขึ้นขี่บุร๊อก อีกครู่หนึ่งก็หยุดอีก ญิบรีลสั่งให้ข้าพเจ้าลงละหมาด เมื่อข้าพเจ้าละหมาดเสร็จ ญิบรีลก็ถามข้าพเจ้าอีกว่า ท่านรู้ไหมว่านี่คือที่ไหน? ข้าพเจ้าตอบว่า ไม่รู้ ญิบรีลกล่าวว่า ที่นี่คือ “ตูริซีนา” อันเป็นสถานที่อัลลอฮ์ท่านพูดกับนะบีมูซา ข้าพเจ้าและญิบรีลได้ขึ้นขี่บุร๊อกอีก แล้วครู่หนึ่งก็ใช้ให้ข้าพเจ้าละหมาดอีก เมื่อข้าพเจ้าละหมาดเสร็จแล้ว ญิบรีลได้ถามข้าพเจ้าอีกว่า ท่านรู้ไหมว่านี่คือที่ไหน ? ข้าพเจ้าตอบว่า ไม่รู้ ญิบรีลกล่าวว่า ที่นี่คือ “บัยตุ้ลละห์มิน” อันเป็นสถานที่ที่ท่านนะบีอีซาประสูติ
ในระหว่างทางข้าพเจ้าก็ได้เจอกับญินตนหนึ่งที่มีชื่อว่า " อัฟรีต " มันถือคบเพลิงอยู่ในมือ มันสะกดรอยตามข้าพเจ้าตลอด ทุกครั้งที่เราหันไปมองจะพบว่า มันจ้องอยู่ก่อนแล้ว เมื่อญิบรีลเห็นดังนั้น ท่านจึงได้สอนให้ข้าพเจ้าอ่านดุอาฮฺที่มีความว่า...
" ข้าขอความคุ้มครองด้วยพระพักตร์แห่งอัลเลาะฮ์อันทรงเกียรติยิ่ง และด้วยกับพระนามอันสมบูรณ์ยิ่ง ซึ้งไม่มีสิ่งใดที่เป็นความดีและความชั่วจะเลยผ่านไปได้ (รอดพ้น) จากความชั่วร้ายของสิ่งที่ลงมาจากฟากฟ้า และสิ่งที่ออกมาจากมัน และจากความชั่วร้ายของสิ่งที่อยู่ในพื้นดิน และสิ่งที่ออกมาจากมันและความสับสนวุ่นวาย จากความพินาศของกลางคืนและกลางวัน เว้นแต่สิ่งที่พระองค์ทรงให้มีมาด้วยความดีงาม โอ้ ผู้ทรงเมตตายิ่ง "
และทันทีที่ท่านนบีอ่านดุอาอฺบทนี้จบ คบเพลิงก็ดับวูบลง อัฟรีต ตนนั้นก็ล้มคว่ำลงตายทันที
หลังจากนั้นบุร๊อกได้นำเราไปถึงบัยตุ้ลมักดิส พอไปถึงที่นั้น มวลมะลาอีกะฮ์ทั้งหมดต่างลงมาจากฟากฟ้ายืนแถวแสดงความยินดีกับข้าพเจ้า อันเป็นการแสดงความยินดี และความเคารพจากพระเจ้า มวลมะลาอีกะฮ์ต่างกล่าวพร้อม ๆ กันว่า...
“ขอความสันติสุขจงประสบแด่ท่าน โอ้ผู้เป็นท่านแรก โอ้ท่านผู้เป็นท่านสุดท้าย โอ้ท่านผู้รวมซึ่งทุกสิ่ง”
ข้าพเจ้าได้ถามญิบรีลว่า พวกเขาแสดงความเคารพอะไรกับข้าพเจ้า? ญิบรีลตอบข้าพเจ้าว่า ท่านเป็นคนแรกที่พื้นแผ่นดินคะนึงหา ท่านเป็นคนแรกที่ประชากรของท่านคะนึงหา ท่านเป็นคนแรกที่ให้ความช่วยเหลือ ท่านเป็นคนแรกที่ได้รับความช่วยเหลือ และท่านคือศาสดาท่านสุดท้าย แล้วท่านได้ผ่านจุดต้อนรับจากมวลมะลาอีกะฮ์นั้นไปจนถึงประตูมัสยิด
ญิบรีลได้ให้ข้าพเจ้าลงจากหลังของบุร๊อก และนำบุร๊อกไปผูกไว้ที่มุมด้านหนึ่งของมัสยิด เมื่อข้าพเจ้าเดินเข้าประตูมัสยิด ข้าพเจ้าได้พบบรรดานะบีและบรรดาร่อซู้ลในอดีตทั้งหมด ซึ่งต่างแสดงความเคารพต่อข้าพเจ้า เหมือนกับที่มวลมะลาอีกะฮ์ให้สล่ามและแสดงความเคารพ
ชั้นฟ้าที่ 1 ท่านญิบรีลจึงขออนุญาตเพื่อให้เปิดประตูชั้นฟ้าชั้นแรก จึงเสียงกล่าวขึ้นว่า "ท่านเป็นใคร?" ญิบรีลตอบว่า "ฉันคือญิบรีล" และมีเสียงกล่าวขึ้นอีกว่า "ใครมาพร้อมกับท่านหรือ?" ญิบรีลตอบว่า "เขาคือมุฮัมมัด" และมีเสียงกล่าวอีกว่า "เขาถูกส่งมาที่นี้หรือ?" ญิบรีลตอบว่า "ใช่แล้ว เขาถูกส่งมาที่นี้" ดังนั้นท้องฟ้าชั้นแรกจึงถูกเปิดให้แก่เรา ทันใดนั้น ฉันจึงพบกับนบีอาดำ เขาได้ต้อนรับฉันและขอพรให้แก่ฉัน
จากนั้นญิบรีลได้นำฉันไปสู่ ท้องฟ้าชั้นที่ 2 และขอเปิดชั้นฟ้าที่ 2 จึงมีเสียพูดอย่างเดิมเหมือนกับชั้นฟ้าชั้นแรก แล้วท้องฟ้าก็ถูกเปิดให้แก่เรา ทันใดนั้นฉันจึงพบกับท่านนบียะห์ยาและนบีอีซา บุตร มัรยัม ซึ่งทั้งสองได้ต้อนรับฉันและขอพรให้แก่ฉัน
หลังจากนั้น ท่านญิบรีลจึงนำฉันไปสู่ท้องฟ้าชั้น 3 และขอเปิดท้องฟ้าชั้นที่ 3 และมีเสียงพูดอย่างเดิมเหมือนชั้นแรก และท้องฟ้าก็ถูกเปิดให้แก่ฉัน และฉันได้พบกับนบียูซุฟ เขาได้ให้การต้อนรับและขอพรให้แก่ฉัน จากนั้นเราขึ้นไปสู่ชั้นฟ้าชั้นที่ 4 ฉันจึงได้พบกับนบีอิดรีส ดังนั้นเขาได้ต้อนรับฉันและขอพรให้แก่ฉัน อัลเลาะฮ์ทรงตรัสไว้ในซูเราะฮ์มัรยัมความว่า "เราได้ยกเขา (คือนบีอิดรีส) สู่ที่พำนักอันสูงส่ง" คือชั้นฟ้าชั้นที่ 4 นั่นเอง
หลังจากนั้นเราได้ขึ้นสู่ชั้นฟ้าชั้นที่ 5 ซึ่งเราได้พบกับนบีฮารูณ เขาได้กล่าวต้อนรับฉันและขอพรให้แก่ฉัน จากนั้นเราขึ้นไปสู่ชั้นฟ้าที่ 6 ซึ่งฉันได้เจอกับนบีมูซา เขาได้ทำการต้อนรับฉันและขอพรให้แก่ฉัน จากนั้นเราได้ขึ้นไปสู่ฟากฟ้าชั้นที่ 7 และได้พบกับนบีอิบรอฮีม นั่งพิงอยู่ ณ ที่บัยตุลมะอฺมูร ซึ่งจะมีมะลาอิกะฮ์เข้าไปทุกวันถึง 70,000 (เจ็ดหมื่น) ท่าน
หลังจากนั้น ญิบรีล นำฉันไปสู่ต้นพุทรา (ซิดร่อตุลมุนตะฮา) ซึ่งเป็นต้นไม้ในสรวงสวรรค์ ซึ่งใบของมันเหมือนใบหูของช้าง ผลขอมันเหมือนโอ่งดินเผา ซึ่งบางครั้งต้นซิดร่อตุลมุนตะฮา ได้เปลี่ยนเป็นสีแดงบ้าง สีเหลืองบ้าง เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินบ้าง สีเงินบ้าง ซึ่งไม่มีผู้ใดที่จะสามารถพรรณาถึงความงดงามของมันได้
ต่อจากนี้ไปญิบรีลได้ให้ข้าพเจ้านำหน้า ข้าพเจ้ากล่าวว่า ญิบรีล ท่านจงนำข้าพเจ้าต่อไป ญิบรีลกล่าวว่า มูฮัมมัด ท่านจงนำฉัน เพราะแท้จริงท่านมีเกียรติมากกว่าฉัน ข้าพเจ้าจึงเดินนำญิบรีลไปจนไปถึงหิญาบที่ทำด้วยทองคำ ซึ่งญิบรีลได้สั่นหิญาบนั้น แล้วได้มีเสียงถามออกมาว่า เป็นใคร? ญิบรีลตอบว่า ฉันมากับมูฮัมมัด ได้ยินเสียงมะลาอีกะฮ์ในหิญาบนั้นกล่าวว่า "อัลลอฮู่อักบัร" แล้วได้สอดมือมาใต้หิญาบนั้นเพื่ออุ้มข้าพเจ้าเข้าไปแต่เพียงผู้เดียว ข้าพเจ้าถามญิบรีลว่า ท่านอยู่ที่ไหน? ญิบรีลกล่าวว่า...
“โอ้มูฮัมมัด ฉันมาได้แค่ตรงนี้ ซึ่งนี่ก็เพราะเกียรติของท่านที่ฉันได้มาถึงตรงนี้”
มะลาอีกะฮ์ได้นำข้าพเจ้าไปถึงอีกหิญาบ หนึ่งซึ่งทำด้วยมุก มะลาอีกะฮ์ที่อยู่หลังหิญาบนั้นถามว่า ท่านเป็นใคร? ได้รับคำตอบจากมะลาอีกะฮ์ที่อุ้มข้าพเจ้าไปว่า “ข้าพเจ้าคือมะลาอีกะฮ์ส่วนหน้า และนี่คือ มูฮัมมัด ศาสนทูตซึ่งเป็นชาวอาหรับ” แล้วเสียง "อัลลอฮู่อักบัร" จากมะลาอีกะฮ์ส่วนในก็ดังขึ้น แล้วได้สอดมือมาใต้หิญาบเพื่ออุ้มข้าพเจ้าเข้าไปในหิญาบ แล้วหิญาบอีกหลายต่อหลายหิญาบ ซึ่งแต่ละหิญาบ มีระยะห่างกันถึงระยะทางเดินห้าร้อยปี จนข้าพเจ้าเห็นอะรัชซึ่งใหญ่โตกว่าสิ่งใดๆ ที่เคยเห็นมา
พระองค์ได้เล่าให้ข้าพเจ้าทราบถึงประวัติของบรรดานะบีในอดีต แล้วข้าพเจ้าได้กล่าวแสดงความคารวะด้วยการกล่าว
اَلتَّحِيَّاتُ الْمُبَارَكَاتُ الصَّلَوَاتُ الطَّيِّبَاتُ لِلّهِ
อัลลอฮ์ท่านได้กล่าวตอบว่า
اَلسَّلاَمُ عَلَيْكَ اَيُّهَا النَّبِىُّ وَرَحْمَةُ اللهِ وَبَرَكَاتُهُ
ข้าพเจ้ากล่าวตอบว่า
اَلسَّلاَمُ عَلَيْنَا وَعَلَى عِبَادِ اللهِ الصَّالِحِيْنَ
แล้วพระองค์ก็ได้เรียกข้าพเจ้าว่า...
اَلتَّحِيَّاتُ الْمُبَارَكَاتُ الصَّلَوَاتُ الطَّيِّبَاتُ لِلّهِ
อัลลอฮ์ท่านได้กล่าวตอบว่า
اَلسَّلاَمُ عَلَيْكَ اَيُّهَا النَّبِىُّ وَرَحْمَةُ اللهِ وَبَرَكَاتُهُ
ข้าพเจ้ากล่าวตอบว่า
اَلسَّلاَمُ عَلَيْنَا وَعَلَى عِبَادِ اللهِ الصَّالِحِيْنَ
แล้วพระองค์ก็ได้เรียกข้าพเจ้าว่า...
" โอ้มูฮัมมัด ข้าฯ รับเจ้าเป็นที่รักของข้าฯ ดังที่ข้าฯ รับอิบรอฮีมเป็นคอลีลของข้าฯ และข้าฯ ได้พูดกับเจ้าดังที่ข้าฯ เคยพูดกับมูซา และข้าฯ ขอบอกแก่เจ้าว่า ข้าฯ ได้ทำให้ประชากรของเจ้าเป็นประชากรที่ดีที่สุดในมวลประชากรที่เคยมี ข้าฯ ให้พวกเขาเป็นประชากรที่มีลักษณะอันเป็นมัชฌิมา พวกเขาคือเบื้องแรกและเบื้องสุดท้าย เจ้าจงเอาสิ่งที่ข้าฯ บอกไปเผยแพร่ และเจ้าจงเป็นส่วนหนึ่งจากผู้ที่มีสำนึกในบุญคุณ "
หลังจากนั้น พระองค์ได้ให้ข้าพเจ้ารู้ในอีกบางอย่าง ซึ่งไม่เป็นที่อนุญาตให้ข้าพเจ้าบอกกับท่านทั้งหลาย และสุดท้ายได้บัญชาให้ข้าพเจ้าและประชากรของข้าพเจ้ากระทำละหมาดวันละห้าสิบ เวลา
หลังจากช่วงต่างๆ นี้ผ่านพ้นไป ทุกอย่างก็หายไป คงเหลือข้าพเจ้าแต่เพียงผู้เดียว “มาซาอัลลอฮ์” ในทันใดนั้น ก็มีเสียงกังวานขึ้นว่า “จงกลับไปยังประชากรของเจ้า จงนำเรื่องที่เป็นบัญชาจากข้าฯ ไปแจ้งแก่พวกเขา”
ในเส้นทางกลับ เมื่อข้าพเจ้าถูกนำมาส่งที่ซิดร่อตุ้ลมุนตะฮา ข้าพเจ้าได้พบกับญิบรีลทั้งทางตาและทางใจ ซึ่งเห็นเขายืนอยู่เบื้องหน้าข้าพเจ้า ญิบรีลได้กล่าวแสดงความยินดีกับข้าพเจ้าในเกียรติอันสูงสุด ซึ่งไม่มีมัคลู๊กใดเคยได้รับมาก่อน ญิบรีลได้ใช้ให้ข้าพเจ้าทำการขอบคุณต่อพระเป็นเจ้า ผู้ซึ่งรักบรรดาผู้ที่มีสำนึกในบุญคุณ ข้าพเจ้าจึงขอบคุณในพระมหากรุณาธิคุณ ที่ได้รับจากพระองค์
หลังจากนั้น ญิบรีล อะลัยฮิสลาม ได้กล่าวกับข้าพเจ้าว่า จงไปต่อโอ้มูฮัมมัด ไปดูสวรรค์ ซึ่งไม่ว่าข้าพเจ้าเห็นอะไร ญิบรีลจะอธิบายบอกให้ข้าพเจ้ารู้ถึงรายละเอียดของสิ่งนั้นๆ ทุกอย่าง หลังจากนั้น ญิบรีล อะลัยฮิสสลาม ได้นำพาข้าพเจ้าไปดูนรก ซึ่งข้าพเจ้าก็ได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างทุกแดนในขุมนรก และก็เช่นกัน ญิบรีลได้บรรยายให้ข้าพเจ้ารับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างในนั้น
ในอุบัติการณ์อัลอิสรออฺและอัลเมียะอฺรอจญ์นั้น ท่านนะบี ได้พบเห็นเหตุการณ์มากมายพอจะสรุปเป็นหัวข้อได้ดังนี้คือ..
พวกที่ต่อสู้ในแนวทางของอัลลอฮฺ (ซ.บ.)
พวกที่ไม่ให้ความสนใจในเรื่องของการละหมาด
พวกที่หมกมุ่นอยู่ในทางเพศที่หะรอม
พวกที่กินดอกเบี้ย
พวกที่กินทรัพย์สมบัติของเด็กกำพร้าด้วยความอธรรม
พวกที่ไม่บริจาคซะกาต
พวกที่ชอบนินทาใส่ร้ายผู้อื่น
พวกที่ชอบพูดในสิ่งที่เขาไม่กระทำ
สำหรับ เหตุการณ์ทั้งหมดดังกล่าวมานี้ เราจะขอเน้นหนักในเรื่องของพวกที่ไม่ให้ความสนใจในเรื่องการละหมาด โดยมีรายงานแจ้งว่า ท่านนะบี ได้ผ่านกลุ่มชนหนึ่งซึ่งศีรษะของพวกเขาถูกทุบให้แตกด้วยก้อนหิน ทุกครั้งที่ศีรษะแตกมันก็จะกลับมีสภาพเช่นเดิมอีก และก็เป็นเช่นนี้อยู่ตลอดเวลา ท่านนะบี จึงกล่าวถามว่า? โอ้ญิบรีล พวกเหล่านี้เป็นใครกัน?? ญิบรีลกล่าวว่า? พวกเหล่านี้คือ ผู้ที่ศีรษะของเขาหนักในเรื่องเกี่ยวกับละหมาดฟัรฎู" หมายถึงเมื่อได้ยินอะซานแล้วไม่ยอมลุกขึ้นไปละหมาด
แล้วได้นำพาข้าพเจ้าลงมาในฟ้าชั้นที่เจ็ด และลงมาตามลำดับ จนถึงฟ้าชั้นที่นะบีมูซาพำนักอยู่ ซึ่งมูซาได้ถามข้าพเจ้าว่า พระเป็นเจ้าได้บัญชาอะไรแก่ประชากรของท่านบ้าง? ข้าพเจ้าตอบว่า... " ละหมาดวันละห้าสิบครั้ง "
มูซากล่าวว่า... ประชากรของท่านทำกันไม่ไหวหรอก ฉันได้เคยถูกบัญชาเช่นนี้แก่ชาวบะนีอิสรออีล ซึ่งเป็นประชากรของฉันมาแล้ว ซึ่งพบว่า พวกเขาทำกันไม่ได้ ทั้งๆ ที่ฉันได้พยายามอย่างที่สุด ดังนั้น ท่านจงกลับไปขอลดหย่อนจากพระเจ้าเถิด ข้าพเจ้าจึงกลับไปยังพระเป็นเจ้าเพื่อขอลดหย่อน ซึ่งพระเป็นเจ้าได้ลดหย่อนมาให้สิบละหมาด เมื่อข้าพเจ้ามาพบมูซา มูซาก็กล่าวเช่นที่เคยกล่าว แล้วให้ข้าพเจ้าขึ้นไปขอลดหย่อนอีก ไปๆ มาๆ ขึ้นๆ ลงๆ ระหว่างมูซากับพระเป็นเจ้า จนสุดท้ายพระเป็นเจ้ามีบัญชาขั้นเด็ดขาดให้กระทำเพียงห้าละหมาด เมื่อมาพบมูซา มูซาก็ขอให้ข้าพเจ้าขึ้นไปขอลดหย่อนอีก โดยกล่าวว่า ฉันได้พยายามให้บะนีอิสรออีล ซึ่งคือประชากรของฉันกระทำ ปรากฏว่า พวกเขาทำกันไม่ได้ ข้าพเจ้าตอบกลับมูซาไปว่า..
"ฉันได้กลับไปยังพระผู้อภิบาลของฉันจนกระทั่งละอายต่อพระองค์เสียแล้ว"
อัลเลาะฮ์ตาอาลา ทรงตรัสกับนบีมุฮัมมัดว่า...
"โอ้มุฮัมมัดเอ๋ย ละหมาดนั้นมี 5 เวลา ในทุกหนึ่งวันและหนึ่งคืน และทุกหนึ่งเวลาเท่ากับ 10 เวลาละหมาด ดังกล่าวนั้นจึงเท่ากับ 50 เวลา และผู้ใดที่ตั้งใจกระทำ 1 ความดี แต่เขาไม่ได้ปฏิบัติมัน ก็ย่อมถูกบันทึกให้แก่เขาหนึ่งความดี และผู้ใดตั้งใจกระทำ 1 ความชั่ว แต่เขาไม่ได้ปฏิบัติมัน ก็ไม่ถูกบันทึกบาปใดๆ แก่เขา และผู้ใดตั้งใจกระทำ 1 ความชั่ว และได้กระทำมันลงไป ก็จะถูกบันทึกให้แก่เขา 1 ความชั่วเท่านั้น"
เมื่อข้าพเจ้าลาจากมูซาลงมา ข้าพเจ้าก็ได้เดินทางกลับโดยมีญิบรีลอยู่เคียงข้างข้าพเจ้า จนข้าพเจ้ามาถึงที่พำนักเดิมที่มักกะฮ์ ญิบรีลก็จากข้าพเจ้าไป
ทั้งหมดนี้ปรากฏขึ้นในคืนวันนั้น... ค่ำคืนอิสรออ์-เมี๊ยะรอจ
วัลลอฮุอะลัม-
แหล่งที่มา : Al - Ameen
#God_Islamic_Society_Online
#ประวัติศาสตร์อิสลาม_Islamic_Society_Online
#การเมือง_ลัทธิและความเชื่อ_Islamic_Society_Online
#ประชาชาติอิสลาม_Islamic_Society_Online
#เรื่องเล่าคติเตือนใจ_Islamic_Society_Online
#บรรยายศาสนธรรม_Islamic_Society_Online
Islamic Society Online
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น