สถานะภาพของยิวในสเปนหลังถูกเปิดให้เป็นเมืองอิสลาม
หลังจากที่สเปนถูกเปิดให้เป็นเมืองอิสลาม ชาวยิวได้เสพสุขด้วยการอะลุ่มอล่วยของอิสลาม พวกเขาจึงได้เข้าร่วมในการพัฒนาประเทศ นโยบายหลักของมุสลิมก็คือ การให้ความสำคัญในด้านของการศึกษาและพัฒนาความคิด มหาวิทยาลัยหลายแห่งจึงได้ถูกเปิดขึ้น เพื่อให้ประชาชนได้รับการศึกษาในด้านของการแพทย์ วิศวกรรม คณิตศาสตร์ และในด้านของวิชาการศาสนาอิสลาม ดังนั้นมหาวิทยาลัยเหล่านี้จึงต้องดึงบุคคลชั้นหัวกระทิด้านวัฒนธรรมจากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งเมืองตลีตอละห์ กุรตุบะห์ เอชบีเลีย ซัรกอซาเตาะห์ และเมืองซัยยานะห์ถือว่าเป็นศูนย์กลางทางด้านวัฒนธรรมในสเปนในขณะนั้น
กระบวนการถ่ายแปลภาษาก็ได้ถูกกระตุ้นอย่างกว้างขว้างเช่นกัน โดยที่ปรัชญาอิสลามได้แปลไปยังภาษาต่างๆของยุโรป
ในช่วงที่อิสลามปกครองเมืองอันดาโลส (สเปน) ชาวยิวจำนวนมากได้อพยพจากทั่วโลกมายังสเปน และได้เข้าร่วมในการพัฒนาการศึกษาในกรอบของอิสลาม จำนวนประชากรยิวที่อพยพมายังสเปนในขณะนั้นมีจำนวนเกือบ 5 หมื่นคน ชาวอาหรับก็มิได้หมางเมินพวกเขา กลับให้การช่วยเหลือพวกเขาในการเปิดเสรีทางด้านการประกอบอาชีพเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ชาวยิวได้กระจายไปในแวดวงของการทำเกษตรกรรม อุสาหกรรม และในด้านการเงิน พวกเขาสวมชุดชาวอาหรับ และได้ประกอบอาชีพในด้านของการแพทย์เป็นจำนวนมาก ชาวอาหรับช่วยเหลือพวกเขาในการเปิดเสรีด้านการขนส่งสินค้าเข้าออกและในด้านของการค้าขาย ชาวอาหรับได้ส่งมอบที่ดิน และลูกหลานที่ถูกนักบวชชาวคริสต์จับตัวไปเพื่อฝึกอบรมแบบคริสต์กลับคืนมา ได้รับการอนุญาตให้สร้างสถานปฏิบัติศาสนกิจได้ ได้รับอนุญาตให้แสดงความเป็นยิวได้ และยังได้รับการช่วยเหลือจากอาหรับในการก่อตั้งศาลตัดสินคดีตามศาสนบัญญัติของพวกเขาอย่างเป็นเอกเทศด้วย
ผลจากการสร้างความสัมพันธ์ของมุสลิมทางการทำธุรกิจร่วมกันกับชาวยิว จึงทำให้การค้าขายของพวกยิวมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้นในอันดาโลส พวกเขาเริ่มกักตุนสินค้าบางชนิด เช่น การค้าทาส ค้าผ้าไหม และการค้าเครื่องเทศ เป็นต้น พวกเขาสามารถรวบรวมทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก และได้ส่งไปให้กับชาวยิวที่มีความยากจนทั้งในเมืองอันดาโลสและที่อื่นๆ
ผลจากการมีเศรษฐกิจที่ดี พวกยิวได้เริ่มสร้างศูนย์วัฒนธรรมยิวขึ้น ให้การสนับสนุนนักวิชาการยิวมากขึ้น และได้เลือกเอาเมืองกุรตุบะห์เป็นศูนย์กลาง เพื่อให้พวกเขาได้มีการศึกษาแบบยิวดียิ่งขึ้น ซึ่งในขณะนั้น เมืองกุรตุบะห์มีห้องสมุดใหญ่ ซึ่งร่วมบรรดาต้นฉบับของทุกสาขาวิชาหลายพันเล่มด้วยกัน
ยุคอิสลามในสเปนถือว่าเป็นยุคทองของยิว เป็นยุคที่สร้างบุคลากรสำคัญของยิวขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นนาย ซอมูเอล บุตร นาจเดล่า ผู้เป็นนักวิชาการด้านศาสนายิว เป็นนักกวี และเขายังได้เข้าทำงานในตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง (ในปี ค.ศ.1027) เป็นนักธุรกิจ หลังจากนั้นบุตรชายของเขานามว่า โจเซฟ บุตร นาจเดล่า ก็ได้ดำรงตำแหน่งแทนเขา เมื่อเมืองกุรตุบะห์ล้มสลาย ซอมูเอลก็ย้ายมายังเมืองมาลิเกาะห์ และได้เป็นองค์รักษ์ให้แก่กษัตริย์ ต่อมาก็ได้เลื่อนขั้นเป็นองค์มนตรี เขาเป็นยิวคนเดียวที่ได้เข้ามาทำงานในตำแหน่งรัฐมนตรีของประเทศอิสลาม
ชาวยิวที่อาศัยอยู่ในสเปน พวกเขาถูกเรียกว่า ซะฟาร์ดิม (Sephardim) ซึ่งที่มาของคำนี้กลับไปยังเผ่าหนึ่งในราชอาณาจักรยาฮูซา
ในศตวรรษที่ 11 ขบวนการคริสตจักรก็ได้มีเป้าหมายยึดครองและได้แย่งชิงคาบสมุทรเอบีเรียจากชาวมุสลิมไป ขบวนการนี้ถูกเรียกว่า “ขบวนการสเปน” ในยุคของขบวนการนี้ ผู้ปกครองชาวคริสต์ได้ปฏิบัติต่อชาวยิวอย่างดี ด้วยเหตุนี้ ในศตวรรษที่ 13-14 จึงถือว่าเป็นปียุคแห่งความสงบสันติของยิวในสเปน ในช่วงเวลาดังกล่าวพวกยิวได้ก่อตั้งศูนย์การศึกษาต่างๆ อาทิเช่น โรงเรียนสอนภาษาและศาสนศาสตร์ในเมืองโลซาเนีย อาจารย์ซึ่งเป็นที่มีชื่อเสียงโด่งดังของโรงเรียนนี้ก็คือ นายอิสฮาก บุตร มัรชาโอล
ในต้นศตวรรษที่ 14 สถานการณ์ของยิวสเปนทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมดีขึ้นมาก ยิวส่วนมากได้เข้าทำงานในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระดับประเทศ และยังได้รับความไว้วางใจจากผู้ปกครอง พวกเขาได้รับสิทธิการคุ้มครองชีวิตเหนือยิวทั่วๆไป
ความตกต่ำของยิวสเปนเริ่มขึ้นตั้งแต่โจเซฟถูกปลดจากตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง เนื่องจากเขาทำตัวเทียบเท่ากษัตริย์ และได้กล่าวเยาะเย้ย ดูถูกพระมหาคัมภีร์อัลกุรอ่าน จึงทำให้ชาวอาหรับและชาวบัรบัรปฏิวัติและทำสงครามศาสนากับเขาในปี ค.ศ.1066 ชาวอาหรับได้เนรเทศพวกยิวจำนวน 4 พันคนออกจากเมืองฆอรนาเตาะห์ ส่วนยิวที่เหลือก็ถูกบีบให้ขายที่ดินและให้ออกจากประเทศไป
ในปี ค.ศ.1212 สิ้นสุดการประนีประนอมทางด้านศาสนาในสเปน ขณะที่ชาวคริสต์ได้เข้ามายึดครองสเปนและขับไล่ชาวมุสลิมออกจากประเทศจนสิ้น
สมัยสเปนที่ปกครองแบบอิสลามก็ได้สิ้นสุดลง การปกครองแบบคริสต์ได้กลับมาอีกครั้ง และในระหว่างปี ค.ศ.1085-1492 ชาวยิวบางคนได้เข้ารับตำแหน่งใหญ่ๆในประเทศสเปนที่ปกครองแบบคริสต์ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือผู้ที่ดำรงตำแหน่งกิจการด้านการเงิน นักการทูต และตำแหน่งรัฐมนตรี
ยิวได้ต่อต้านและตั้งตนเป็นศัตรูกับคริสเตียนอย่างรุนแรง โดยที่พวกยิวมองว่าศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่มาเพื่อทำลายล้างอุดมการณ์แห่งพระเจ้าที่ประกาศความสูงส่งของยิวเหนือประชาชาติอื่นๆ พวกเขาถือว่าศาสนาคริสต์พยายามที่จะทำลายอุดมการณ์ของคัมภีร์แทลมูด ซึ่งในอดีตพวกคริสต์ไม่เคยที่จะให้ความเคารพและให้ความศักดิ์สิทธิ์กับคัมภีร์ของพวกเขาเลย พวกยิวได้ทำการโจมตีต่อชาวคริสต์อย่างรุนแรง โดยกล่าวใส่ร้าย และกุเรื่องต่างๆนานาต่อผู้ก่อตั้งคริสต์ศาสนา สาวก และสานุศิษย์ของของเขา พวกเขาได้เข้าทำสงครามต่อต้านศาสนาใหม่ และสร้างความเคลือบแคลงในบทบัญญัติของศาสนานี้
ส่วนรูปลักษณ์ของยิวในสายตาของคริสต์แล้ว ชาวคริสต์มีความเชื่อว่าพวกยิวต้องการเลือดพระเยซู เพื่อต้องการทำให้ศาสนาคริสต์ตกต่ำ และได้ลักพาตัวเด็กชาวคริสต์ไปสังหารก็เพื่อเป้าหมายนี้เช่นกัน และยังเชื่อว่าพวกยิวให้การช่วยเหลือชาวอาหรับมุสลิมและกลุ่มตาต๊าร (ต้าร์ต้าร์) ต่อต้านคริสต์ศาสนา ด้วยความเชื่อเหล่านี้จึงทำให้กลุ่มยุโรปต่อต้านพวกยิวอย่างรุนแรง ถึงขั้นขับเนรเทศ ขับไล่ จับขัง และริบทรัพย์สิน และด้วยสาเหตุที่ยิวได้รับการกดขี่ข่มเหง ถูกอธรรมจากคริสต์ศาสนา พวกเขาจึงพยายามที่จะหลั่งความรู้สึกของพวกเขาออกมา จนได้มีคำพูดประโยคหนึ่งว่า “มีผู้คนมากมายที่ให้การช่วยเหลือพวกยิวในการพยายามที่จะเอาประเทศของฉันให้กับพวกมัน เพื่อที่คนส่วนมากจะได้ปลอดภัยจากความชั่วร้าย เลวทราม และขจัดพวกยิวออกจากประเทศของพวกเขาเหล่านั้น”
และในอีกด้านหนึ่ง ยิวได้แทรกซึมเข้าไปในกลุ่มพระคริสต์อย่างเงียบๆ จนได้กลายเป็นพระราชาคณะ เป็นบิชอพ โดยที่พวกเขาได้แสร้งถึงความรักต่อคริสต์ศาสนา ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ได้กระจายอุดมการณ์ของพวกเขาต่อกลุ่มคริสต์ชนอย่างลับๆ และพวกยิวเหล่านี้ก็ยังได้แทรกซึมไปยังแม่บ้าน และธนาคารแห่งประเทศสเปนอย่างรวดเร็ว โดยมีเป้าหมายเพื่อทำลายล้าง
และในอีกด้านหนึ่ง ยิวได้อ้างว่า ความคิดของปรัชญากรีก อาทิเช่น ปรัชญาของอัฟลาโตน ซักรอต เป็นต้น ตรงกับหลักเกณฑ์และคำสั่งใช้ของยิว พระยิวยังได้อ้างอีกว่า ทฤษฎีต่างๆของกรีกคือสิ่งเดียวกันกับสิ่งที่มีอยู่ในศาสนายิว และแน่นอนปรัชญาที่ปกครองตะวันตกอยู่นั้น มีรากฐานมาจากศาสนายิวและมาจากบทบัญญัติในคัมภีร์โตราห์ ปรากฏว่าทฤษฎีต่างๆของพวกยิวนี้มีเป้าหมายเพื่อครอบครองและเป็นผู้นำเหนือประชาชาติต่างๆ ข้อกล่าวหาต่างๆที่ยิวได้กุขึ้นนั้นก็ได้กลับมาต่อต้านพวกเขาเองด้วยการทำให้พวกเขาต้องตกศาสนา และเพียงเพื่อรักษาหนังสือเล่มหนึ่งของอัฟลาโตนหรือของอาโรสโตจึงได้กลายเป็นอาชญากรรมที่ไม่สามารถอภัยให้ได้ กฎหมายก็ได้ลงโทษต่อการก่ออาชญากรรมดังกล่าว และได้ก่อตั้งขบวนการทางความคิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 14 และคงมีเรื่อยมาจนถึงศตวรรษที่ 17
ในช่วงศตวรรษที่ 14 พวกยิวก็ได้หันมาประกอบอาชีพค้าทาส เพราะแท้จริงแล้ว อาชีพนี้ได้ช่วยพวกเขาในการแก้แค้นชาวคริสต์ โดยที่พวกเขาจะซื้อเฉลยชาวสเปนที่เป็นคริสต์ และนำมาขายด้วยกับราคาที่สูงในแคว้นอื่นๆ
จากหนังสือ "ความสัมพันธ์ตุรกี-ยิว" เล่มที่ 1
อะห์หมัดมุสตอฟา โต๊ะลง ผู้แปล
ที่มา : ดาบแห่งอัลเลาะห์ อะคาเดมี่
#ประวัติศาสตร์อิสลาม_Islamic_Society_Online
Islamic Society Online
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น