อุมัยยาฮ์เป็นราชวงศ์แห่งแรกสุดของอิสลาม มีกรุงดามัสกัส ซีเรีย เป็นเมืองหลวง แม้ราชวงศ์นี้ยืนยาวเพียง 90 ปี แต่ก็ได้สร้างสร้างสรรค์ศิลปะและสถาปัตยกรรมไว้ให้โลกใบนี้ไว้ไม่น้อย
ภายใต้การนำของคอลีฟะฮ์ราชวงศ์อุมัยยาฮ์ อิสลามได้แผ่ขยายไปสู่ดินแดนส่วนใหญ่ที่เป็นโลกมุสลิมในปัจจุบัน และเมื่อถึงกลางศตวรรษที่ 8 อาณาจักรคอลีฟะฮ์มุสลิมก็กินดินแดนจากดามัสกัสไปด้านตะวันออกถึงเมืองทัชเคนท์ (อุซเบกิสถาน) และด้านตะวันตกถึงเทือกเขาพีเรนีส (กั้นระหว่างสเปนกับฝรั่งเศส) สเปนและโปรตุเกสได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิมุสลิม
นอกเหนือจากการขยายดินแดนแล้ว ราชวงศ์อุมัยยาฮ์ยังโดดเด่นด้านการจัดการบริหารองค์กร, การค้า, และจัดทำเหรียญทองเพื่อใช้ในการแลกเปลี่ยนสินค้าเป็นครั้งแรก
ในด้านศิลปะนั้นเล่า อุมัยยาฮ์ได้สร้างสรรค์ผลงานสถาปัตยกรรมชิ้นเอกของโลกไว้ 2 ชิ้นคือ ‘โดมออฟเดอะร็อค’ (Dome of the Rock หรือมัสยิดอัล-ซอครอฮ ตั้งอยู่ในอาณาบริเวณมัสยิดอัล-อักซอ ที่กรุงเยรูซาเล็ม ปาเลสไตน์) และมัสยิดดามัสกัส
บทความชิ้นนี้จะกล่าวถึงมัสยิดทั้งสองแห่งนี้ นวัตกรรมใหม่ๆ ทางสถาปัตยกรรม และงานศิลปะที่รังสรรค์ขึ้นมาเป็นเพชรน้ำงามของโลกอิสลาม
ภูมิหลัง
หลังจากท่านอาลี (Ali ค.ศ.599-660) คอลีฟะฮ์คนที่สี่ของอิสลามเสียชีวิตลง มุอาวียา (Muawiyah I ค.ศ.602-680) ก็ขึ้นครองบัลลังก์เป็นคอลีฟะฮ์หรือกาหลิบ และเริ่มต้นยุคของราชวงศ์อุมัยยาฮ์
ยุคนี้มีชื่อเสียงโดดเด่นด้านความสำเร็จทางสถาปัตยกรรม แม้ช่วงแรกของการก่อตั้งราชวงศ์จะมีศึกภายในอาณาจักรเองระหว่างอุมัยยาฮ์กับผู้ที่ภักดีต่อท่านอาลี แต่หลังจากนั้นแล้วบ้านเมืองก็คืนกลับสู่ความสงบสุข และยังผนวกดินแดนอิรัก อิหร่าน ซีเรีย เข้าใต้ร่มธงอิสลาม ทำให้เกิดการพัฒนาผลงานศิลปะและสถาปัตยกรรม เห็นได้จากทั้งอาคารศาสนาและอาคารทั่วไป
และการพัฒนาทางสถาปัตยกรรมมัสยิดที่สำคัญที่สุดของโลกมุสลิม ซึ่งเป็นรากฐานให้กับนวัตกรรมการก่อสร้างมัสยิดเวลาต่อมา ก็ต้องให้เครดิตกับราชวงศ์อุมัยยาฮ์ในยุคนี้เอง
ปีค.ศ.673 กาหลิบมุอาวียาเริ่มก่อสร้างมินาเร่ หรือหออะซาน ขึ้นมาเป็นครั้งแรกของโลกอิสลาม คือในการขยายมัสยิดอามีรอิบนุอัล-อาซ (‘Amr ibn al-‘As ค.ศ.583-664 แม่ทัพผู้นำทัพมุสลิมเข้ายึดครองอียิปต์ได้ในปี 640) ที่อียิปต์ มัสยิดหลังนี้ก่อสร้างครั้งแรกสุดในปี 641-642 ต่อมาในสมัยกาหลิบมุอาวียาก็มีการก่อสร้างหออะซานขึ้นมาทั้งสี่มุม Creswell (1958, p14) ให้ความเห็นว่า นวัตกรรมชิ้นนี้เป็นการเลียนแบบสถาปัตยกรรมของชาวคริสต์ในซีเรีย เขาระบุว่า มุสลิมยุคแรกๆ ของดามัสกัสละหมาดกันในวิหารร้างของชาวคริสต์ชื่อ ‘โบสถ์เซนต์จอห์นเดอะแบบติสท์’ ซึ่งตรงมุมทั้งสี่ของโบสถ์เป็นโครงยื่นนูนออกมา ชาวมุสลิมก็เลยปีนขึ้นไปบนนั้นเพื่ออะซานเรียกคนมาละหมาด และก็กลายเป็นแรงบันดาลใจให้มีการก่อสร้างหออะซานขึ้นมา (ตัวอย่างเช่น Briggs, 1924, & Creswell, 1926) ส่วนสมมติฐานอื่นๆ ของกำเนิดหออะซานก็คือ อิทธิพลจากประภาคารของฟาโรห์ (Mitchell, et al., 1973)
มัสยิดดามัสกัส (สร้างปี 706-715) มีนวัตกรรมอื่นๆ ที่ราชวงศ์อุมัยยาฮ์ได้ริเริ่มให้มีขึ้นมาอีกคือ โค้งซุ้มหินรอบๆ ลานมัสยิด ซึ่งประกอบไปด้วยโค้งรูปเกือกม้า และที่นี่เองเป็นที่แรกของโลกที่โค้งรูปเกือกม้าได้ถือกำเนิดขึ้นมา ซึ่งประจักษ์พยานที่เห็นนี้ได้ลบล้างข้ออ้างของนักวิชาการบางรายที่บอกว่าชาวมุสลิมได้รับอิทธิพลโค้งรูปเกือกม้ามาจากชาววิซิโกธ สเปน (Briggs, 1924, p.42 ซึ่งเป็นข้ออ้างที่ตลกมากๆ อย่าลืมว่าชาวมุสลิมมัวร์เพิ่งไปยึดสเปนและโปรตุเกสได้ในปี 711 และโปรดอ่านความเห็นของ เซอร์คริสโตเฟอร์ เรน ยอดสถาปนิกอังกฤษ: ‘เราเรียกลักษณะของสถาปัตยกรรมแบบนี้ว่า ‘กอธิค’ ทั้งๆ ที่ชาวโกธ (Goth) เป็นผู้ทำลายมากกว่าผู้สร้างสรรค์ ผมคิดว่าด้วยเหตุและผลแล้วเราต้องเรียกว่า ‘สไตล์ซาราเซ็นนิก’ ต่างหาก เพราะคนเหล่านั้น (ชาวโกธ) มิได้สนใจศิลปะหรือการศึกษาแต่อย่างใด’)
โค้งมัลติฟอยล์ (multifoil โค้งหยักๆ เป็นรูปกลีบดอกไม้สวยๆ) ก็เริ่มรังสรรค์ขึ้นมาครั้งแรกโดยสถาปนิกมุสลิมที่มัสยิดอุมัยยาฮ์เช่นกัน ซึ่งก่อสร้างขึ้นมาในหออะซาน ต่อมาโค้งชนิดนี้ถ่ายทอดไปสู่ส่วนต่างๆ ของโลกมุสลิม ก่อนจะข้ามไปสู่ยุโรปซึ่งได้ใช้กันอย่างแพร่หลายในโบสถ์และอาคารทั่วไป
นวัตกรรมอีกอย่างหนึ่งของสถาปัตยกรรมอิสลามสมัยราชวงศ์อุมัยยาฮ์ก็คือโดมเหนือจุดตัดบริเวณโถงกลางด้านหน้ามิห์ราบ โปรดรู้ไว้ด้วยว่าลักษณะเด่นของสถาปัตยกรรมนี้ซึ่งในเวลาต่อมาเห็นได้ทั่วไปในโบสถ์คริสต์ เริ่มใช้เป็นครั้งแรกในมัสยิดอุมัยยาฮ์นี่เอง และก็ได้กลายเป็นลักษณะเด่นของมัสยิดในยุคหลัง ๆ ยิ่งไปกว่านั้น อิบนุ คอลดูน (1967) ยังบอกว่า การริเริ่มใช้ maqsura ก็เกิดขึ้นโดยสถาปนิกมุสลิมในสมัยอุมัยยาฮ์เช่นกัน โดยมุอาวียาได้ให้สร้าง maqsura เป็นห้องหรือช่องที่แยกออกมาจากมิห์ราบเพื่อเป็นที่ส่วนตัวของพระองค์
ต่อมาเมื่ออัล-วาลีด (Al-Walid I ค.ศ.668-715 ครองราชย์ค.ศ.705-715) ได้ขึ้นครองราชย์เป็นกาหลิบ พระองค์ก็ได้ให้บูรณะมัสยิดนาบาวีหรือมัสยิดท่านศาสนฑูตที่เมืองมาดีนาเสียใหม่ เพราะหลังเก่ามีขนาดเล็กเกินไม่เพียงพอกับจำนวนผู้ศรัทธาที่มีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ช่วงค.ศ.707-709 อัล-วาลีดขยายมัสยิดนาบาวี สร้างหออะซานสี่มุม สร้างมิห์ราบขึ้นมาตรงกลางของผนังด้านทิศกิบลัต ที่มาของมิห์ราบมีคนสันนิษฐานแตกต่างกันไปมากมาย ส่วนใหญ่บอกว่ามาจากรูปแบบของมุขตะวันออกในสถาปัตยกรรมคริสเตียน ส่วนในอิสลาม มิห์ราบกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของช่องเล็กๆ ที่มีรัศมีพระเจ้าส่องสว่างด้านหน้าผู้ศรัทธา ช่วยให้ผู้ศรัทธารู้สึกสงบและมีสมาธิระหว่างละหมาด หน้าที่อีกอย่างหนึ่งของมิห์ราบก็คือเป็นสัญลักษณ์ชี้บอกทิศกิบลัตหรือทิศของนครเมกกะ
โดมออฟเดอะร็อค
จากจารึกบนอาคาร เราพบว่าโดมออฟเดอะร็อคถูกก่อสร้างขึ้นช่วงปีค.ศ.691-692 ในรัชสมัยกาหลิบอับดุลมาลิก (Abd al-Malik ค.ศ.646-705) มัสยิดหลังนี้ตั้งอยู่ใจกลางอัลฮะรอม อัชชารีฟ และสร้างครอบ ‘ซอครอฮ’ หรือที่ชาวไทยมุสลิมเรียกว่า ‘หินลอย’ ซึ่งเป็นบริเวณที่ท่านศาสนฑูตมุฮัมมัด (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน) ได้ขึ้นสู่สวรรค์ไปกับฑูตสวรรค์ยิบรีล (เกเบรียล) ในเหตุการณ์มิอ์ราจเพื่อรับบัญชาจากพระเจ้า
การที่กาหลิบอับดุลมาลิกสร้างโดมออฟเดดอะร็อคครอบหินลอยเอาไว้ก็เพราะต้องการแข่งกับอิบนุซูบีร (Ibn Zubayr ค.ศ.624-692 เป็นหลานตาของท่านอบูบักร์ คอลีฟะฮ์คนแรกของอิสลาม) ในการอุทิศให้กับอิสลาม โดยก่อนหน้านี้ในช่วงปี 683-692 อิบนุซูบีรได้บูรณะอัล-กะบะฮ์ที่เมกกะ
ในขณะที่มีนักเขียนบางราย (Grabar, 1959) อ้างว่า การที่กาหลิบอับดุลมาลิกก่อสร้างโดมออฟเดอะร็อคก็เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะของอิสลามเหนือศาสนาอื่นโดยเฉพาะจูดายและคริสตศาสนา แต่ข้ออ้างนี้น่าสงสัย เพราะจริงๆ แล้วมัสยิดหลังนี้สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยคอลีฟะฮ์อุมัร (Umar ค.ศ.581-644 เป็นคอลีฟะฮ์ค.ศ.634-644) คอลีฟะฮ์คนที่สองของอิสลาม หลังจากมุสลิมได้เข้ายึดครองกรุงเยรูซาเล็ม
อีกความเห็นหนึ่งที่ระบุถึงแรงบันดาลใจของกาหลิบอับดุลมาลิกก็คือ พระองค์ต้องการสร้างความอลังการให้กับอาณาบริเวณมัสยิดอัล-อักซอดังที่ได้ระบุไว้ในอัล-กุรอาน
(อาณาบริเวณมัสยิดอัล-อักซอมีมัสยิดสองหลังคือ 1) มัสยิดอัล-อักซอ ตั้งอยู่ด้านล่าง เป็นที่ละหมาดของผู้ชาย กำแพงด้านหนึ่งของตรงนี้เป็นสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ของวิหารกษัตริย์โซโลมอนหรือนบีสุไลมานซึ่งก็คือ ‘กำแพงร้องไห้’ ของชาวยิว และ 2) มัสยิดอัล-ซอครอฮที่ครอบหินลอยไว้ ตั้งอยู่บนเนินสูงสุด เป็นที่ละหมาดสำหรับผู้หญิง มัสยิดหลังนี้สร้างได้วิจิตรพิศดารมากๆ และสาวๆ ปาเลสไตน์ก็สวยสุดๆ – ผู้แปล)
กาหลิบและสมาชิกราชวงศ์อุมมัยยาฮ์พำนักในพระราชวังที่สร้างเพื่อเอื้ออำนวยกับงานอดิเรกอย่างการล่าสัตว์และสวนขนาดใหญ่ ทางราชสำนักจึงสร้างป้อมปราการหลายชุดใช้กำแพงอย่างหนา มีเครื่องอำนวยความสะดวกทุกอย่างเพื่อสนองตอบชีวิตหรูหราในราชสำนัก ในบรรดาวังเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ประกอบด้วย กัซร์ อัมรา (Qasr Amra จอร์แดน ราวปี 715), กัซร์ อัล-การานาฮ์ (Qasr al-Kharanah จอร์แดน ปี 711), คิร์บีตัลมัฟจัร (Khirbet al-Mafjar จอร์แดน ปี 743-744), และมาชัตตา (Meshatta ปี 750 ตอนอุมัยยาฮ์ล่มสลาย วังหลังนี้ยังสร้างไม่เสร็จ)
ในพระราชวังเหล่านี้ ราชวงศ์อุมัยยาฮ์ได้แสดงให้เห็นถึงอัจฉริยภาพด้านสถาปัตยกรรมและการตกแต่ง ในด้านการออกแบบ วังเหล่านี้ประกอบด้วยห้องโถงขนาดใหญ่ ห้องอาบน้ำ ที่พักของชายและหญิง มัสยิด อุทยาน และสวน ซึ่งเหล่านี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงมาตรฐานการใช้ชีวิตที่หรูหราและอำนาจทางการทหาร (Mitchel et al. 1978) โครงสร้างของวังเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการใช้ระบบเพดานโค้งที่ปรานีต มีโดมและเพดานโค้งประทุน (เช่นที่ กัซร์อัมรา)
ด้านการตกแต่ง วังเหล่านี้ตกแต่งด้วยรูปแบบที่สวยงามเก๋ไก๋ที่สุดตั้งแต่ใช้พื้นโมเสคไปจนถึงผนังที่ประดับประดาด้วยกระเบื้องที่ใช้ลวดลายเรขาคณิตและพันธุ์พฤกษา
บทสรุป
ภายใต้การปกครองของราชวงศ์อุมัยยาฮ์ อิสลามได้แผ่ขยายออกไปกว้างใหญ่ไพศาลนัก สร้างความร่ำรวยมั่งคั่งและรุ่งเรืองให้กับอาณาจักรอย่างมหาศาล ซึ่งเป็นผลให้ก่อเกิดศิลปะและสถาปัตยกรรมรูปแบบใหม่ๆ ในยุคสมัยนี้ การก่อสร้างมัสยิดได้มีรูปแบบและลักษณะต่างๆ ที่ทำหน้าที่ต่างกันเช่น หออะซาน มิห์ราบ Maksurah และโดม ส่วนศิลปะการตกแต่งก็ค่อยๆ พัฒนาตามมา